ใครบ้างหนอ ต้องกิน ฮอร์โมน
หมกมุ่นอ่านเรื่องสมองและ ฮอร์โมน มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าจะแข่งกับหมออะไรหรอก แต่แค่อยากรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อมาบอกเล่าให้คุณผู้อ่านชีวจิตฟัง
หะแรก บ.ก.สนใจเรื่องสมอง เพราะต้องการฝึกสมองหรือหาวิธี ที่จะเพิ่มพลังและดูแลสมอง เพื่อเมื่ออายุมากขึ้น สมองจะยังปราดเปรื่องสดใส และไม่มีอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมมารบกวน ขณะเดียวกันก็ท้าทายตนเอง เพื่อขยายการทำงานของสมอง เพื่อทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็พบว่ามีฮอร์โมน 5 ชนิด สัมพันธ์กับการทำงานของสมอง นั่นคือ ไทรอยด์ เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน อินซูลิน และคอร์ติซอล ฉะนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับความสมดุลในการทำงานของฮอร์โมนทั้ง 5 ชนิดนี้ด้วย
โดยบ.ก. เริ่มตามต่อไปยังการทำงานของเอสโตรเจน และพบความน่าสนใจของฮอร์ดมนตัวนี้ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ เอสโทรน เอสทราดรอย และเอสทรีออล โดยถ้าเรามีเอสโทรนมาก (เกิน 20%) จะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์หญิง ส่วนเอสทราดรอย (ปกติจะมีไม่เกิน 20%) ทำหน้าที่ต่อต้านโรคมะเร็งดังกล่าว และสำหรับเอสทรีออล (มีอยู่ 60-80%) จะช่วยลดแอลดีแอลหรือไขมันเลว และเพิ่มเอสดีแอลหรือไขมันดี
อ่านต่อไป พบว่า ฮอร์โมนทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ส่วนใหญ่แล้วหญิงวัยทองต้องกินเป็นประจำนั้น ทำจากเอสโตรเจนของม้า และมีส่วนเอสโทรนในเอสโตรเจนสูงมาก ซึ่งเสี่ยงต่อโรคร้ายที่ว่า
ผู้บริโภคเลยลังเล จะกินฮอร์โมนทดแทนดีไหมหนอ เช่นกันค่ะ บ.ก.ก็งง ถ้าถึงวันของเราเองบ้างล่ะ (คงอีกไม่เกิน 10 ปีหรอกนะ) แล้วเราจะยอมกินฮอร์โมนทดแทนไหม
ร้อนถึงดร.สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมน และท่านเขียนเรื่องฮอร์โมนเอสโตรเจน ในนิตยสารชีวจิตหลายต่อหลายตอน บ.ก.จึงค้นมาจนพบว่า ใครบ้างต้องกินฮอร์โมนทดแทน (นิตยสารชีวจิตฉบับ 1 เมษายน – 16 พฤษภาคม 2544) และสรุปมาฝากกันค่ะ
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจตนเองก่อนว่า เป็นผู้หญิงกลุ่มไหน
- ผู้หญิงกลุ่มเอ เป็นกลุ่มที่มีไลฟสไตล์ทำงานอยู่กลางแจ้ง เช่น เป็นชาวสวน ชาวนา อาจารย์สาทิสกล่าวว่า คนเหล่านี้จะได้ออกกำลังกายเพราะหน้าที่การงานของตนเองอยู่แล้ว ซึ่งงานที่ทำจะทำให้ผู้หญิงเหล่านี้มีกระดูกหนาและแข็งแรง
นอกจากนี้ สภาพจิตใจของผู้หญิงกลุ่มนี้จะสดใสชื่นแจ่มใส เพราะชีวิตเรียบง่ายของตนนั่นเอง ส่วนสุดท้ายคือพวกเธอไม่มีปัญหาด้านสังคม โดยเฉพาะเรื่องสิทธิของผู้หญิง เธอจึงไม่เก็บความคิดเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเพศมาเป็นอารมณ์
ฉะนั้น ผู้หญิงกลุ่มเอจึงไม่ต้องกินฮอร์โมน
- ผู้หญิงกลุ่มบี เป็นกลุ่มที่อยู่ในเมือง ทำงานในออฟฟิศติดแอร์ นอนในห้องนอนที่ต้องเปิดแอร์ ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ไม่ได้ทำงานใช้แรง หรือแม้แต่ทำครัว นอกจากนี้อาจารย์สาทิสบอกว่า พวกเธอมีการศึกษา สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพง่ายๆ จึงมักมีคำถามว่า จะมีปัญหากระดูกผุไหม หรือจะทำอย่างไรไม่ให้ผิวพรรณเหี่ยวย่น หากไม่ได้ฮอร์โมนทดแทน
ฉะนั้น แทนการแนะนำให้ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือาหารการกิน ซึ่งซับซ้อนและยุ่งยากสำหรับแพทย์ ผู้หญิงกลุ่มบี จึงควรกินฮอร์โมน
- ผู้หญิงกลุ่มซี เป็นกลุ่มที่มีอาการวัยทองก่อนวัยอันควร ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากป่วยเป็นโรคมะเร็ง และต้องให้ยาเคมีบำบัด หรือมาจากความเครียดจากหน้าที่การงาน ทว่าเมื่อต้องแก้ไขอาการ ด้วนการปรับพฤติกรรม พวกเธอเหล่านี้จะให้คามร่วมมือเป็นอย่างดี
ฉะนั้น ผู้หญิงกลุ่มซี จึงกินฮอร์โมนบ้างเมื่ออาการวัยทองรุนแรง และหลังจากปรับพฤติกรรมแล้ว อาการวัยทองลดลง ก็ไม่ควรกินฮอร์โมน