ประสบการณ์ชีวิต

ชีวิตกับเพื่อนใหม่ชื่อ “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง”

เรามาดูกันว่าคุณสุรชัยมีวิธีการอยู่กับเพื่อนใหม่อย่างไร กับเพื่อนที่ชื่อว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ผม – สุรชัย คัมภีระ อายุอานามปีนี้ก็ 32 ปีแล้ว ว่ากันตามจริงผมเป็นคนที่มีเพื่อนไม่มากนัก แต่ปีที่ผ่านมาผมเพิ่งได้เพื่อนใหม่ที่ทำให้ผมได้เข้าใจโลกและชีวิตอย่างแท้จริง เขาเข้ามาทักทายผมด้วยการหยิกแก้มเบาๆ…แล้ว…แก้มกระตุก…แล้วก็ชา เขาทำอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง คุณหมอจากหลายๆแห่งช่วยผมตามหาเขา แล้วก็พบว่าเขาเป็นก้อนขนาด 8 มิลลิเมตร ที่อยู่ในสมองผมนี่เอง ระหว่างหาคำตอบว่าเขาคืออะไรกันแน่  การครุ่นคิดถึงการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆของผมก็ให้คำตอบกับตัวเองซึ่งผมไม่อยากยอมรับว่า เขาคือมะเร็ง และหลังจากนั้น 1 เดือน ผมก็ได้รู้จักเขา- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง  แต่ตอนนั้นขนาดเขาใหญ่ขึ้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1.2 มิลลิเมตรแล้ว

เริ่มต้นมิตรภาพ

แรกเริ่มเดิมทีผมมองเขาเป็นศัตรู เหมือนที่คนอื่นๆมองว่ามะเร็งคือโรคร้ายแรง เป็นแล้วต้องตาย ความตั้งใจแรกจึงคิดแต่จะทำลายอย่างเดียว หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเสียผมก็ต้องกำจัดเขาออกไปให้ได้ หลังจากปรึกษากับคุณหมอเรื่องการรักษาแล้ว ผมก็ได้ทางเลือกสองทางคือ หนึ่งเคมีบำบัดฉีดเข้าสันหลัง สอง ฝังกระเปาะใต้ศีรษะเพื่อเอายาเข้าสู่สมองโดยตรง ซึ่งทั้งสองวิธีมีผลข้างเคียงที่รุนแรง บ้างก็ติดเชื้อจนสมองบวม บ้างก็พิการ ที่ตายไปแล้วก็มี

นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นความเป็นเพื่อนระหว่างเรา ผมหันมาศึกษาหาความรู้ในเรื่องมะเร็งด้วยตัวของผมเอง ซึ่งทำให้ผมได้พบความจริงว่า แท้จริงแล้วมะเร็งก็คือตัวเรานี่เอง การกินอยู่ปฏิบัติตัวแบบผิดๆของผมที่สร้างเขาขึ้นมา เมื่อเป็นแล้วเขาก็จะไม่ไปไหน แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความรู้สึกยอมรับเขาเริ่มเกิดขึ้นในใจ ในเมื่อจะต้องอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ต้องไม่ทำร้ายจงเกลียดจงชังหรือกำจัดเขาออกไป ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

ร่วมทุกข์…ร่วมสุข

   ผมตั้งใจดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ในเรื่องการดูแลสุขภาพกาย ทุกวันเราจะตื่นพร้อมกันตั้งแต่ตีห้า ทำกิจวัตรส่วนตัว หุงข้าวกล้อง เสร็จแล้วก็ลงมือทำน้ำซุปผักหม้อใหญ่ๆ เอาไว้สำหรับเอาไว้ทำอาหารต่างๆ และทำน้ำอาร์ซี ดื่ม ประมาณตี 5 ครึ่งก็ออกไปวิ่งในหมู่บ้าน ต่อด้วยการรำกระบอง ซึ่งผมทำเต็มที่ได้ 6 ท่า สำหรับท่าเตะ ผมทำได้ 2 แบบ คือเตะตรงเท้าเหยียด และเตะตรงเท้าฉาก ท่าละ 50 ครั้ง ออกกำลังกายเสร็จราวหกโมงเศษๆ ก็จะคว้าจักรยานปั่นไปจ่ายตลาด ซื้อผัก และกับข้าว ส่วนตอนเย็นผมจะอบสมุนไพร หลังจากที่ผมลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเป็นประจำทุกวันแล้ว ทั้งเขาและผมต่างก็มีสุขภาพที่ดีวันดีคืน

นอกจากเรื่องการดูแลสุขภาพกายแล้ว ผมยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพใจ ด้วยการสร้างช่วงเวลาดีๆ ที่เรามีให้กันทุกวัน วิธีที่ผมใช้คือการทำสมาธิด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก จะทำสมาธิวันละ 3 รอบ คือในช่วงเช้าหลังกินข้าวกินปลาแล้ว ส่วน ช่วงบ่ายจะทำตอนก่อนอาหารกลางวัน ลงไปกินข้าวเสร็จก็ลงไปเล่นกับลูก แล้วก็กลับมาทำสมาธิต่อ

นั่งไประยะหนึ่งจะรู้สึกสงบมาก ทำให้ผมมีสมาธิ และรู้สึกว่าเราได้อยู่กันสองคนจริงๆ สื่อถึงกันได้จริงๆ  สามารถคุยกันได้ดี ส่วนใหญ่ผมจะถามไถ่เขาว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม นอกจากคุยกับเขาแล้ว ช่วงเวลานี้ยังเอื้อให้ผมได้คุยกับระบบอื่นๆ ของร่างกายเราไปด้วย เช่น คุยกับเม็ดเลือดขาว คุยกับเลือด คุยกับระบบต่างๆของร่างกาย ไปด้วย ซึ่งผมมั่นใจว่าทุกส่วนรับรู้และต่างก็ช่วยให้ทั้งผมและเพื่อนดีขึ้น ยิ่งช่วงไหนที่คิดแต่ทางที่ดี เบิกบานแจ่มใส ตื่นมาสดชื่นร่าเริง ร้องเพลง เขาเหมือนจะสุขสงบไปด้วย ไม่มีอาการของโรคเลย

อย่างไรก็ตาม นอกจากช่วงเวลาแห่งความสุข เราก็มีช่วงเวลาที่แย่ๆ ที่ทำให้เราต้องขัดใจกันบ้าง ตกลงกันไม่ได้บ้าง ซึ่งสาเหตุใหญ่ก็เกิดจากตัวผมเอง ก่อนหน้านี้เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ ขึ้น เช่น ปวดหัวหรือ มึนหัวนิดๆ ผมเคยคิดไม่ไว้ใจเขา โดยลืมนึกไปว่านั่นเป็นธรรมชาติการดำเนินไปของโรค ความคิดแว้บเข้ามาว่าฉันควรจะไปให้เคมีบำบัดเพื่อเอาเธอออกไปเสียที พอคิดอย่างนี้จิตใต้สำนึกของผมจะออกมาไม่ดีทั้งหมด ทำให้คิดมาก ไม่สบายใจ รู้สึกไม่ดี เครียด นอนไม่หลับ ก็ยิ่งซ้ำทั้งผมทั้งเขาให้อาการแย่ลง จนไม่สบายขึ้นมาอีก แต่ตอนหลังเมื่อเป็นแบบนี้อีกแล้วใช้วิธีพูดคุยกับเขา เช่น บอกเขาว่าวันนี้มึนเกินไปแล้วนะ อย่าโตเกินไป อย่าให้เจ็บปวด อย่ามึนไปกว่านี้นะ ถ้ามึนเกินไปใครจะดูแลลูกของเราล่ะ อาการต่างๆ จะดีขึ้นจนหายไป

จากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้ผมตั้งใจที่จะคิดและปฏิบัติแต่สิ่งดี เพื่อให้เราอยู่ร่วมกันอย่างไม่ทุกข์ทรมาน และเมื่อไม่นานนี้เพื่อนผมก็แสดงให้ผมเห็นว่าเขาสามารถรับรู้ความปรารถนาและความรู้สึกดีๆ นี้ได้จริง เพราะจากการตรวจครั้งล่าสุด เขามีขนาดเล็กลง เหลือเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 5 มิลลิเมตร

เพื่อนที่สอนให้รู้จักชีวิต

ผมอยากจะบอกกับทุกๆคนว่า ก่อนเจอเขาผมใช้ชีวิตประมาท ด้วยความคิดที่ว่าอายุยังน้อย สุขภาพคงยังไม่เป็นปัญหาอะไร ควรหาเงินให้เต็มที่ พออายุ 40-50 ก็สบายแล้ว งานจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ทุกอย่างต้องเป็นที่หนึ่ง งานต้องดีที่หนึ่ง ผลงานต้องดีที่หนึ่ง ผมจะเครียดมากกับงานที่ออกมาไม่ดี ทุ่มเทตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลานอน กลางคืนสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็นั่งคิดเรื่องงาน ตื่นตอนเช้าอาบน้ำแปรงฟัน สมองก็เริ่มสั่งการเรื่องงานทันที วางแผนเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้วุ่นวายไปหมด ไม่มีการแบ่งเวลาให้กับตัวเอง ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่ค่อยได้อยู่กับลูก จนลูกแทบจะจำหน้าไม่ได้ เป็นอยู่อย่างนี้จนทำให้เกิดการสะสมความเครียดโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว

แต่หลังจากรู้จักกับเขา ชีวิตผมเปลี่ยนไป เขาสอนให้ผมได้รู้ซึ้งว่าการเบียดเบียนร่างกายมากจนเกินไปมีผลอย่างไร จากที่ไม่เคยเหลียวกลับมามองตัวเองเลย กลายเป็นว่าทุกวันนี้ผมต้องทะนุถนอมแม้กระทั่งลมหายใจเข้าออก ต้องติดตามดูเขาตลอดเวลา ทุกขณะเป็นอย่างไร ทั้งต้องประคับประคองส่วนอื่นๆ ของกายและใจ เมื่อได้รู้จักกับโลกเล็กๆ ในตัวเอง ความรู้สึกเป็นมิตรก็เกิดขึ้นทั้งต่อตัวเองและทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย ใจเย็นขึ้น มีความสุขง่ายขึ้น แม้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ มีความสุขกับธรรมชาติ และสิ่งที่เรียบง่าย ครอบครัวก็อบอุ่นขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก

ผมรู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนี้จริงๆ เพราะตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาหยิกแก้ม เขาก็ให้โอกาสผมมาตลอด เขาสอนให้ผมเปลี่ยนแปลงชีวิตมาอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง จนผมไม่เคยมีอาการมากมายเหมือนที่คนอื่นเจอ ที่สำคัญเขาสอนให้ผมรู้การมีจิตใจที่ดีเยียวยาโรคร้ายได้อย่างน่าอัศจรรย์

ข้อมูลเรื่อง “ชีวิตกับเพื่อนใหม่ชื่อ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ …..

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.