การผ่าตัดนี้ทำไปเพื่อจุดประสงค์หลักคือ ทำให้กระเพาะเล็กลง และวิทยาการนี้เพิ่งจะนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยเมื่อ 3 – 4 ปีที่ผ่านมานี้เอง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธีรพล อังกูลภักดีกุล จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า คนที่จะทำ Bariatric Surgery ได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) มากกว่า 40 ขึ้นไป หรือผู้ชายมีน้ำหนักเกินมาตรฐานมากกว่า 45 กิโลกรัม (100 ปอนด์) ถ้าผู้หญิงก็มากกว่า 35 กิโลกรัม (80 ปอนด์)
นอกจากนี้จะต้องเป็นคนที่มีโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอ้วน(comorbidity) จำพวกเบาหวานในระดับรุนแรง โรคหัวใจ หรือมีปัญหาการนอนกรนอย่างรุนแรงจนถึงขนาดหยุดหายใจตอนหลับบ่อยๆ โดยที่คนไข้เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ผ่านวิธีลดความอ้วนมาแล้ว สารพัดอย่าง แต่วิธีเหล่านั้นกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า และถ้ายังปล่อยให้คนไข้เหล่านี้มีน้ำหนักเกินมาตรฐานต่อไป ก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิต
จากงานวิจัยในผู้ป่วย 136 คนที่ตีพิมพ์เผยแพร่ใน Journal of the American Medical Association หรือ JAMA พบว่า Bariatric Surgery นอกจากสามารถลดความอ้วนได้แล้ว ยังช่วยแก้อาการจากโรคเบาหวานได้ 77 เปอร์เซ็นต์ Bariatric Surgery จึงเป็นตัวช่วยแบบเร่งด่วน ว่าแต่คุณจะยอมเสี่ยงหรือไม่ หลากวิธีศัลยกรรมกระเพาะ
แรกเริ่มเดิมที วิธี Bariatric Surgery ใช้การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เพื่อศัลยแพทย์จะได้ทำการผ่าตัด ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการผ่าตัดใหญ่ทั่วไป ต้องอาศัยเวลาในการปฏิบัติการ และผู้ป่วยเองก็ต้องเสียเวลาพักฟื้นเป็นเวลานาน เต็มไปด้วยความเสี่ยงนานา หากปัจจุบันวิทยาการก้าวหน้า กระบวนการผ่าตัดจึงง่ายกว่านั้น เพียงให้ศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชำนาญเจาะหน้าท้องเป็นรูเล็กๆ ส่องกล้องลงไปปฏิบัติการ ซึ่งก็มีความหลากหลายดังนี้
-
Biliopancreatic Diversion (BPD) หรือ Scopinaro
procedure ส่วนหนึ่งของกระเพาะถูกเฉือนออกไปเพื่อสร้างกระเพาะใหม่ขึ้นมา ซึ่งเล็กกว่าและทำให้กระเพาะนี้ต่อตรงถึงลำไส้ การผ่าตัดแบบนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ คนไข้เกิดอาการขาดสารอาหารในภายหลัง เนื่องมาจากการดูดซึมซึ่งมีเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ แต่สามารถแก้ได้ด้วยการให้อาหารและวิตามินเสริม
-
Vertical Banded Gastroplasty and Adjustable
Gastric Banding เป็นการใส่ยางซิลิโคนเข้าไปผูก ทำให้กระเพาะส่วนต้นเล็กลง สามารถใช้การส่องกล้องลงไปปฏิบัติการได้ เพราะคิดค้นโดยศูนย์การแพทย์อ็อบเทคแห่งสวีเดนในปี 1985 จึงสามารถเรียกวิธีนี้ว่า Swedish Adjustable Gastric Band (SAGB) ซึ่งผ่านมาตรฐานขององค์การอาหารและยาหรือ FDA แล้ว สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ 50 เปอร์เซ็นต์
-
Gastric Bypass Surgery การตัดกระเพาะส่วนกลาง
ออกไป ให้ขนาดกระเพาะเล็กลง และตัดลำไส้เล็กมาต่อกับกระเพาะส่วนต้น ช่วยลดการดูดซึมได้ด้วย เพราะลำไส้เล็กมีขนาดสั้นลง สามารถลดน้ำหนักได้มากถึง 70 – 80 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักส่วนเกิน เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากในประเทศสหรัฐอเมริกา
ส่วนประเทศไทยเรานั้น คุณหมอธีรพลบอกว่ามีให้บริการเฉพาะวิธีที่ 2 และ 3 เท่านั้น ซึ่งล้วนแต่ทำให้กระเพาะจุอาหารได้แค่ 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร คนไข้จึงกินอาหารได้น้อยลง นอกจากขนาดความจุอาหารน้อยลงแล้ว ยังรู้สึกอิ่มเร็ว เพราะความรู้สึกอิ่มนี้อยู่ที่ส่วนต้นของกระเพาะอาหาร
ว่าแต่ว่า สิ่งใดในโลกนี้ที่ให้แต่ผลดีโดยไม่มีผลเสียบ้างเล่า โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับวิทยาการทันสมัย ซึ่งชาวชีวจิตหวาดหวั่นนักหนาผอม แต่เสี่ยง ผลการศึกษาวิจัยล่าสุดในปี 2006 ซึ่งได้จากการติดตามผลหลังการผ่าตัดเป็นเวลา 180 วันหลังจากคนไข้ออกจากโรงพยาบาลพบว่า มีคนไข้ 39.6 เปอร์เซ็นต์มีอาการต่างๆ ดังนี้ มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการย่อยอาหาร เช่น อาเจียนกลืนอาหารไม่ได้ อาหารไหลย้อน และท้องเสีย 20 เปอร์เซ็นต์ เกิดรอยรั่วหรือรอยตีบบริเวณแผลผ่าตัด จำนวน 12 เปอร์เซ็นต์
- ภาวะไส้เลื่อนในช่องท้อง จำนวน 7 เปอร์เซ็นต์
- ติดเชื้อ จำนวน 6 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้แล้ว คนไข้ที่น้ำหนักลงเร็วๆ จะพบปัญหาเรื่องผิวหนังหย่อนยานแบบที่การออกกำลังกายอาจไม่ช่วยอะไร จำเป็นต้องใช้วิธีศัลยกรรมตกแต่งเข้าช่วย ซึ่งก็ต้องเสียกำลังทรัพย์อีกไม่น้อย นอกจากค่าผ่าตัดแบบบายพาสซึ่งมีสนนราคาสองถึงสามแสนบาท หรือค่ารัดยางผูกกระเพาะในราคาเกือบสองแสนบาท
ฉะนั้น คนที่ฝันว่ายอมเจ็บตัวและลงทุนค่าผ่าตัดไม่กี่แสนบาทแล้วจะได้ร่างกายสวยสมส่วน คงไม่ใช่เสียแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ นี่อาจไม่ใช่ปลายทางของสุขภาพดีอย่างที่เราต้องการ
บทความอื่นที่น่าสนใจ
หลังผ่าตัดมะเร็งเต้านม ต้องออกกำลังกายได้ด้วยท่านี้