หาวิธีลดอ้วน

หาวิธีลดอ้วน 360 องศา ด้วยการแพทย์แผนไทย

หาวิธีลดอ้วน 360 องศา ด้วยการแพทย์แผนไทย

หาวิธีลดอ้วน

ปัจจุบันในทางการแพทย์ ความอ้วนหรือโรคอ้วน มีอิทธิพลต่อการดูแลสุขภาพของคนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น คนทำงาน หนุ่มสาวออฟฟิศ หรือผู้สูงอายุ

ในอดีตความอ้วนอาจจะไม่ใช่โรค แต่เป็นค่านิยมหรือวัฒนธรรมในการดูแลสุขภาพที่แสดงถึง
สิ่งพิเศษมากกว่าคนอื่น ๆ เช่น ผอมสวยหุ่นดี ไม่อ้วน คือคนที่สุขภาพแข็งแรง ในความเป็นจริงแล้วการมีความแข็งแรงหรือไม่นั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของรูปร่างเพียงอย่างเดียว แต่ประกอบไปด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างแบบองค์รวม ทั้งกาย ใจ จิตวิญญาณ และสุขภาวะทางสังคม

ซึ่งหากมีครบถ้วนจึงจะถือได้ว่าเป็นผู้มีความแข็งแรงสมบูรณ์ตามคำนิยาม ขององค์การ
อนามัยโลก (WHO) ตามทฤษฎีของการแพทย์แผนไทยระบุว่า โรคอ้วนเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุทั้ง 4 ส่งผลให้กลไกการทำงานของร่างกายผิดปกติ เช่น ธาตุไฟผิดปกติ ส่งผลให้กระบวนการเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มที่ กินเข้าไปมาก แต่ร่างกายกลับไม่ย่อย พลังงานถูกนำไปใช้น้อย จึงเกิดการสะสมในรูปแบบของไขมัน ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนตามมา

ซึ่งสอดคล้องกับคำอธิบายในทางการแพทย์ว่า โรคอ้วนเกิดจากการกินอาหารที่ให้พลังงานมากกว่าพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญออก จึงทำให้มีไขมันสะสม

แต่อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าอ้วนแล้วจะต้องเป็นโรคเสมอไป หากเป็นคนที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุน้ำ คือ เกิดในเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม จะมีพื้นฐานธรรมชาติเป็นคน เจ้าเนื้อ อวบอ้วน มีน้ำมีนวล หรือภาษาวัยรุ่น เรียกว่า “อ้วนตะมุตะมิ” น่ารัก

การมีน้ำมีนวลหรือเป็นคนเจ้าเนื้อต้องมีความแข็งแรงและไม่เจ็บป่วยด้วย หากคนธาตุน้ำต้องการลดน้ำหนักก็จะลดได้ยาก และที่สำคัญ ไม่ควรลดน้ำหนักจนรูปร่างผอมเกินไป เพราะจะทำให้ธาตุน้ำเสียสมดุล ไม่เช่นนั้นจะเป็นโรคอื่นตามมาได้เช่นกัน

ส่วนคนที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟ คือ เกิดในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน มีลักษณะเป็นคนรูปร่างผอม ถ้าอ้วนขึ้นมา อาจทำเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าธาตุอื่น ๆ โดยมักมี
อาการ เช่น โรคลม โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ

แต่ถ้าต้องการลดน้ำหนักสามารถทำได้ง่ายกว่าคนที่มีธาตุเจ้าเรือนอื่น ๆ พูดง่าย ๆ คือ
ลดน้ำหนักได้เร็วนั่นเอง

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอ้วน เมื่อไรควรลดน้ำหนัก เมื่อไรที่กำลังเกิดความป่วย มีวิธี
เช็กได้ 2 วิธี คือ

วิธีที่ 1 ดูจากค่าดัชนีมวลกายหรือค่าบีเอ็มไอ

คำนวณจากน้ำหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ค่าที่ได้อยู่ระหว่าง 23 – 24.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แสดงว่ากำลังจะอ้วน เป็นระยะที่เรามีโอกาสลดน้ำหนักได้ง่าย

แต่ถ้าค่าที่ได้อยู่ในระดับ 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป เตรียมตัวพบกับโรคที่จะตามมา
ได้เลย เพราะคุณคือคนอ้วนนั่นเอง

วิธีที่ 2 เช็กจากรอบเอวเพื่อหาค่าไขมันบริเวณหน้าท้อง

เช่น ผู้ชายมีรอบเอวมากกว่า 90 เซนติเมตร และผู้หญิงมีรอบเอวมากกว่า 80 เซนติเมตร แสดงว่าอ้วน

นอกจากนี้ ยังมีวิธีเช็กแบบอื่น ๆ เช่น การเจาะเลือดเพื่อประเมินความผิดปกติของโรคอ้วนกับกลุ่มอาการโรคเมแทบอลิก เช่น ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่มากกว่าหรือเท่ากับ 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระดับไขมันดีเอชดีแอลในผู้ชายที่น้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และในผู้หญิงที่น้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระดับความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 130 / 85 มิลลิเมตรปรอท และสุดท้าย คือ ระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากอดอาหาร 8 ชั่วโมง มากกว่าหรือเท่ากับ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

ถ้าไม่อยากอ้วนล่ะ จะต้องทำอย่างไร ?

มี 2 ปัจจัยที่ต้องควบคุมให้ได้ ดังนี้

  1. การควบคุมปริมาณพลังงานให้สมดุล โดยพลังงานที่ได้รับต้องเท่ากับพลังงานที่ร่างกายใช้ไป เพราะหากได้รับพลังงานมากกว่าที่ถูกใช้ออกไปจะเกิดการสะสม และเปลี่ยนไปอยู่ในรูปไขมัน
    สำหรับพลังงานที่ร่างกายได้รับ คือ พลังงานที่ได้จากการกิน จึงควรกินคาร์โบไฮเดรต ไขมันแต่น้อย กินโปรตีนให้สมดุล กินผักผลไม้ที่มีใยอาหารให้มาก ๆ โดยคิดไว้เสมอว่า ต้องได้รับพลังงานที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วย
    ส่วนพลังงานที่ร่างกายใช้ไป คือ กระบวนการเผาผลาญ การสร้างความร้อน และการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ออกกำลังกาย การอบไอน้ำสมุนไพรเพื่อให้ร่างกายสร้างกระบวนการระบายความร้อน กินสมุนไพรรสเผ็ดร้อน (พริกไทย พริก)เพื่อเร่งการทำงานของธาตุไฟในร่างกายซึ่งเป็นตัวช่วยในการเผาผลาญ ฯลฯ
  2. ควบคุมความอยากอาหาร เช่น กินอาหารเมื่อหิวและหยุดกินอาหารเมื่ออิ่มลดการกินอาหารจำพวกบุฟเฟต์ เพื่อควบคุมสมดุลของร่างกายไม่ให้เสียไป ทำให้น้ำหนักและปริมาณไขมันอยู่ในระดับปกติ ไม่อ้วนและไม่ผอมจนเกินไป
    แต่อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้ตามหลักการที่บอกไปข้างต้น เพราะมีปัจจัยหลายอย่างมากที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ธรรมชาติของร่างกายธาตุเจ้าเรือน ฮอร์โมน ผัสสะ จิตใจ ฯลฯ จึงเป็นเหตุให้เราแอบเผลอใจไปกับการกินอาหารปริมาณมากเกิน

แต่ไม่เป็นไร ผมขอแนะนำวิธีช่วยลดความอ้วนง่าย ๆ ที่เป็นตัวเสริมจาก 2 วิธีหลักข้างต้น ดังนี้
สูตรดีท็อกซ์ เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ล้างเมือกมันบริเวณลำไส้ให้ขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ โดยนำผลมะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก สัดส่วนอย่างละเท่ากัน ใส่น้ำท่วมสมุนไพร ต้มเดือด 30 นาที แล้วรินดื่มครั้งละ 250 มิลลิกรัม ก่อนนอน สามารถใช้ได้ทั้งสมุนไพรสดและสมุนไพรแห้ง หาซื้อได้ตามร้านขายยาสมุนไพรทั่วไป

ทับหม้อเกลือ ในระยะหลังมานี้มีงานวิจัยหลายเรื่องที่ระบุว่า การทับหม้อเกลือ ช่วยลดไขมันทำให้หน้าท้องเล็กลงได้ โดยให้ทำร่วมกับการพันผ้าหน้าท้อง
แต่วิธีนี้อาจต้องทำโดยแพทย์แผนไทยโดยตรง ซึ่งสามารถใช้บริการได้ในโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย

อย่างไรก็ตาม มีอีกหลายวิธีมากที่จะเป็นตัวช่วยในการลดความอ้วน อย่างไรก็ตาม ขอให้เชื่อมั่นไว้เสมอว่า ไม่มีวิธีไหนได้ผลดีเท่ากับทำตาม 2 หลักการข้างต้นแล้วถ้ามีวิธีลดอ้วนอัพเดตจะมาแนะนำอีกครั้งนะครับ

เรื่อง พท.ป.ชารีฟ หลีอรัญ ภาพ iStock เขียนลงเว็บ เนื้อทอง ทรงสละบุญ

ชีวจิต 459 นิตยสารรายปักษ์ ปีที่ 20 : 16 พฤศจิกายน 2560

– – –  – – – – –  – – – – –  – – – –  – – – –  – – –  – – –  – – –  – – –  – –  – –

บทความน่าสนใจอื่นๆ

สูตรกินลดอ้วน + ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมใน 5 สัปดาห์

10 สูตรยาไทยลดอ้วน ช่วยหุ่นเฟิร์ม

เคล็ดลับลดอ้วน ดูแลรูปร่าง ให้หุ่นปัง ไม่พัง ไม่ย้วย

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.