4 วิธีตรวจน้ำตาลในเลือด
SCREENING TEST
วิธีตรวจน้ำตาลในเลือด เพื่อคัดกรองเบาหวาน ป้องกันก่อนเกิดโรคแทรกซ้อน วิธีตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวาน นายแพทย์ชัยชาญอธิบายว่า ปัจจุบันมีวิธีตรวจวินิจฉัยเบาหวาน 4 วิธี ดังนี้
1. เจาะเลือดตรวจระดับนำ้ตาลหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (Fasting Blood Sugar หรือ FBS)
วิธีนี้เป็น วิธีตรวจน้ำตาลในเลือด ที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้จักกันดี ราคาไม้แพง แต้ต้องงดอาหาร โดยผู้ตรวจต้องต้องงดอาหารก่อนการเจาะเลือด 8 ชั่วโมง เพราะการกินอาหารเข้าไปจะมีผลต่อระดับกลูโคสในเลือด แต่ระหว่างนั้นสามารถดื่มน้ำเปล่าได้
การแปลผล เกณฑ์ปกติต้องมีน้ำตาลกลูโคสต่ำกว่า 100 มิลลิกรัม / เดซิลิตร ถ้ามีนำ้ตาลกลูโคสตั้งแต่ 100 – 125 มิลลิกรัม / เดซิลิตรจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอาหารทันที แตถ้ามีน้ำตาลกลูโคสสูงตั้งแต่ 126 มิลลิกรัม/ เดซิลิตร ถือว่าเป็นโรคเบาหวานแล้ว ต้องพบแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาโรคเบาหวานต่อไป
ประโยชน์วิธีนี้ใช้ตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวานและติดตามระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อประเมินผลการรักษาต่อไป
2. การวัดปริมาณน้ำตาลเฉลี่ยที่ผ่านมามาเป็นระยะเวลา 3 เดือน (Glycohemoglobin HbA1c)
วิธีนี้ทำให้ทราบระดับนำ้ตาลเฉลี่ยสะสม ซึ่งเป็นค่าของน้ำตาลในเลือดที่มาจับกับโปรตีนในเม็ดเลือดแดง ใช้ระบุถึงระดับน้ำตาลในเลือดที่สะสมตลอด 2 – 3 เดือนที่ผ่านมาได้ ขณะที่วิธีแรกจะทำให้ทราบค่านำ้ตาลในเลือดในระยะเวลา 2 – 3 วันที่ผ่ามา ไม่ต้องอดอาหาร สามารถเจาะเวลาไหนก็ได้ แต่มีราคาแพงและมีให้บริการตามโรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือโรงเรียนแพทย์ เนื่องจากเป็นการตรวจที่ต้องได้มาตรฐานสูง
การแปลผล ตามเกณฑ์ปกติ จะมีค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมระหว่างร้อยละละ 4 – 6 ส่วนผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 6.5 ขึ้นไป
ประโยชน์ วิธีตรวจน้ำตาลในเลือด วิธีนี้ใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน ใช้ติดตามเพื่อควบคุมโรคเบาหวาน ซึ่งมักจะทำโดยการเจาะเลือดทุก 3 – 4 เดือน และสุดท้ายใช้ประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคแทรกซ้อน เนื่องจากผู้ที่มีค่า HbA1c สูงจะมีความเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อนสูงไปด้วย
3. การเจาะเลือดตรวจน้ำตาลแบบสุ่ม (Random Blood Sugar หรือ RBS)
กรณีที่แพทย์ซักประวัติแล้ว พบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคเบาหวาน ได้แก่ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย นำ้หนักตัวลด จะใช้ วิธีตรวจน้ำตาลในเลือด โดยสามารถตรวจเวลาไหนก็ได้ไม่ต้องอดอาหารมาก่อน
การแปลผล เกณฑ์ปกติอยู่ที่ระหว่าง 80 – 120 มิลลิกรัม / เดซิลิตร ช่วงก่อนอาหาร หรือหลังตื่นนอน และระหว่าง 100 – 140 มิลลิกรัม/ เดซิลิตร ช่วงก่อนนอน ถ้าพบว่ามีค่าตั้งแต่ 200 มิลลิกรัม / เดซิลิตรขึ้น ไปถือว่าเป็นเบาหวาน ให้พบแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการ
รักษาโรคเบาหวานได้เลย
ประโยชน์ วิธีตรวจน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าสามารถตรวจเวลาไหนก็ได้ นอกจากใช้ตรวจวินิจฉัยผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวานแล้ว ยังใช้ตรวจผู้ที่มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำได้อีกด้วย
4. การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test หรือ OGTT)
ส่วนใหญ่ใช้ในการศึกษาวิจัย ทำโดยให้ผู้ป่วยยอดอาหาร 8 ชั่วโมง จากนั้นเจาะเลือดตรวจ ทั้งก่อนการดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม และหลังการดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม 2 ชั่วโมง เพื่อตรวจดูระดับพลาสมากลูโคส
การแปลผล หากพบระดับพลาสมากลูโคสที่ 2 ชั่วโมง ตำ่ กว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าปกติ แต่ถ้ามีระดับพลาสมากลูโคสที่ 2 ชั่วโมง มากกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน และถ้าอยู่ระหว่าง 140 – 199 มิลลิกรัม / เดซิลิตร ถือว่าเป็นผู้ที่มีความทนทานต่อน้ำตาลบกพร่อง (Impaired Glucose Tolerance Test)
ประโยชน์ วิธีตรวจน้ำตาลในเลือด ใช้ในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน แต่ผลตรวจระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงไม่ถึง 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จะใช้วิธีนี้ตรวจซ้ำการตรวจคัดกรองเบาหวานเท่ากับการตรวจหาสัญญาณเตือนภัย ดังนั้นถ้ายิ่งตรวจเร็วก็ก็ยิ่งมีโอกาสหายได้เร็วขึ้นนั่นเอง
อ่านต่อ>> วิธีตรวจน้ำตาลในเลือด เบาหวานในหญิงตั้งครรภ์และเด็ก
อ่านเพิ่มเติม