ศัลยกรรมแปลงเพศ จะทำทั้งที ต้องรู้จักเตรียมตัวให้พร้อม
ศัลยกรรมแปลงเพศ ในปัจจุบัน มีความทันสมัย ปลอดภัยขึ้นมาก แต่จะผ่าตัดทั้งที เรามาดูกันดีกว่าว่า แปลงเพศจากชายเป็นหญิงจะต้องเตรียมตัวอย่างไร เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเริ่ดสุดๆ
รู้หรือไม่ว่า การแต่งงานกันลดอัตราการฆ่าตัวตายได้ สถาบันสาธารณสุขจอห์นส์ฮอปกินส์บลูมเบิร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา วิเคราะห์อัตราการฆ่าตัวตายของเด็กมัธยม ในรัฐที่ให้สิทธิคนรักร่วมเพศสามารถแต่งงานกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย พบว่า มีอัตราลดลงร้อยละ 7 โดยวัยรุ่นในกรณีศึกษาส่วนใหญ่ ยอมรับว่า ตนเองเป็นกลุ่มเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBT(Lesbian,Gay,Bisexualand Transgendered) ได้แก่เลสเบียน เกย์ ไบเซ็กชวล หรือผ่านการผ่าตัดแปลงเพศมาแล้ว
เหตุผลสําคัญคือ เด็กกลุ่มดังกล่าวรู้สึกว่า ตนได้รับการยอมรับจากสังคมมากขึ้น จึงทําให้มีสุขภาพจิตดีขึ้น หายขาดจากอาการทางจิตเวช เช่น ภาวะซึมเศร้า การทําร้ายตัวเอง การคิดฆ่าตัวตาย อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยยังศึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากอาจมีสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลให้อัตราการฆ่าตัวตายลดลง
ข้อมูลจาก โรงพยาบาลยันฮี อธิบายว่า เกณฑ์พิจารณาในการผ่าตัดแปลงเพศ ก่อนผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงควรคิดใคร่ครวญให้รอบคอบถึงความต้องการที่แท้จริง และคำนึงถึงเรื่องต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังการแปลงเพศด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบในเรื่องของงาน ครอบครัว เนื่องจากหลังผ่าตัดแปลงเพศไปแล้วจะเปลี่ยนย้อนคืนให้เหมือนเดิมอีกไม่ได้
เมื่อพร้อมแล้วสำหรับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงขั้นตอนแรก แพทย์เฉพาะทางด้านการแปลงเพศ และจิตแพทย์ 2 ท่าน จะทำการพิจารณาสภาพจิตใจของผู้ที่ต้องการแปลงเพศอย่างละเอียด เพื่อความมั่นใจว่ามีจิตใจที่พร้อมจริงๆ ที่จะแปลงเพศ และจะไม่เปลี่ยนใจกลับมาเป็นเพศเดิมในภายหลัง
สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่ต้องการแปลงเพศ คือ
- ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป หากมีอายุน้อยกว่า 20 ปี ต้องมีจดหมายรับรองจากผู้ปกครองเพื่อยินยอมการผ่าตัด
- ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงติดต่อกันเป็นระยะที่ยาวนานมากกว่า 1 ปีขึ้นไป โดยที่มีความรู้สึกเป็นหญิงมานานแล้ว
- รู้สึกไม่ชอบอวัยวะเพศชาย คิดว่าเป็นส่วนเกินของตนเอง
- เคยได้รับฮอร์โมนเพศหญิงมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชนิดรับประทานหรือฉีด อย่างน้อย 1 ปี
- คนรอบข้างยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นได้ และตัวคุณเองมีความสุขโดยไม่มีความกดดันใดๆ
หากมีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน แสดงว่า มีความพร้อมทั้งสภาพจิตใจและสภาพกาย จิตแพทย์จะให้ใบรับรองว่าสามารถเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศได้อย่างถูกต้องตามหลักการ
เตรียมตัวก่อนผ่าตัดแปลงเพศ
- ต้องเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะได้ทราบถึงสภาพความพร้อมของร่างกาย
- หากรับประทานยาชนิดใดอยู่ ควรแจ้งให้แพทย์ที่ทำการผ่าตัดทราบ เพื่อแนะนำว่าควรหยุดยาหรือเปลี่ยนแปลงตัวยาก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือไม่
- ควรหยุดใช้ยาฮอร์โมนล่วงหน้า 1 เดือน
- งดวิตามิน อาหารเสริม 2 สัปดาห์
- งดสูบบุหรี่ 1 เดือน
- งดแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์
- ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย 2-3 วัน เพื่อให้ภายในลำไส้มีการตกค้างของกากอาหารน้อยลง ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
พืชผักสมุนไพรเสริมฮอร์โมนหลังแปลงเพศ
คุณธนกฤต ชโยธนโชติ หรือคุณก็อต ผู้ที่อยู่ในวัยหมดฮอร์โมน แถมยังผ่านการผ่าตัดแปลงเพศ เป็นผู้หนึ่งเลือกกินสมุนไพรและอาหาร เพื่อทดแทนฮอร์โมนที่ขาดไปจนมีสุขภาพแข็งแรง ที่สําคัญผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสจนใครๆ ก็เดาอายุไม่ถูก
โดยคุณก็อตเล่าให้ฟังว่า “หลังจากผ่าตัดแปลงเพศ ฮอร์โมนเพศชายหมดไป ตอนนี้เราก็ไม่ต่างจาก ผู้หญิงวัยทองที่ต้องกินฮอร์โมนเอสโทรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง คุณหมอสั่งฮอร์โมนเอสโทรเจนชนิดเม็ดให้กินต่อเนื่องทุกวัน แต่หลังจากนั้นรู้สึกได้ว่าเกิด ผลข้างเคียง คือ ฝ้าขึ้น ผิวหน้าไวต่อแสง ผิวอ่อนแอ รู้สึกหนาวง่าย และ เลือดน้อย”
เมื่อมีอาการผิดปกติเช่นนี้ คุณก็อตซึ่งเป็นคนดูแลสุขภาพตามวิถีธรรมชาติอยู่ แล้วจึงหันมาศึกษาข้อมูลเรื่องการกินอาหารธรรมชาติเพื่อทดแทนการกินฮอร์โมน
“ฮอร์โมนทดแทนนั้นไม่สามารถควบคุมความผิดปกติของร่างกายเราได้ทั้งหมด จึงหันมาฟังเสียงร่างกายตัวเองและเลือกกินอาหาร พืชผัก และสมุนไพรท้องถิ่น แทน เพราะเป็นอาหารที่จะช่วยปรับธาตุต่างๆในตัวเราให้สมดุลได้
“การกินเช่นนี้ทําให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนเอสโทรเจนซึ่งมีความเย็นในปริมาณ ที่เราควบคุมได้ จึงปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง ส่วนปริมาณการกินที่เหมาะสม ต้องสังเกตจากอาการของตัวเราเอง เช่น เคยลองกินในวันที่อากาศช่วงกลางคืน ร้อนมาก จึงกินมากหน่อย แล้วนอนไม่เปิดแอร์ ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยร้อน และช่วยให้ ผิวพรรณชุ่มชื้นขึ้น เปล่งปลั่งขึ้น ถ้าเริ่มกินแบบนี้ตั้งแต่ยังไม่โรยราจะดีมาก”
บทความอื่นที่น่าสนใจ
วิธีสร้างสมดุล ฮอร์โมนเพศหญิง ปรับประจำเดือน ต้านวัยทอง
ทำอย่างไรเมื่อลูกเราเป็นเกย์ กระเทย ไบ ทอม ดี้ ฯลฯ
นวดกษัย นวดแผนไทย ช่วยเพิ่มพลังทางเพศคุณผู้ชายและผู้หญิง ?
