2. ตาพร่ามัว
เนื่องจากวัยที่เพิ่มขึ้นและต้องใช้สายตามาก ต้องเพ่งเป็นเวลานาน เช่น ดูจออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ บางคนดูทั้งจอเล็กและจอใหญ่สลับกันทั้งวัน จึงทำให้กล้ามเนื้อจอประสาทตานั้นต้องยืดหดตลอดวัน จึงทำให้เกิดการเสื่อมเร็วขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อจอประสาทตามีปัญหาในระยะยาวบางรายมีอาการสายตาสั้น – สายตายาว จอประสาทตาลีบหดสั้นลง เกิดอาการตาพร่ามัว ทำให้การมองเห็นไม่ชัดมีน้ำตาไหลออกมาตลอดเวลาขณะเพ่งมองวัตถุ
การแก้ไข สำหรับช่วงวัย 40 หมอแนะนำให้บริหารสายตาทุก 2 ชั่วโมง โดยการกลอกตาไปมาประมาณ 3 – 5 นาที หรือพักสายตาจากจอต่างๆ และใช้อายแพ็ค (Eye Pack) แบบเย็นมาประคบรอบดวงตา อุณหภูมิความเย็นของอายแพ็คจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาที่ตึงแน่นผ่อนคลายลงช่วยลดอาการตาพร่ามัว ควรหลีกเลี่ยงการใช้สายตาที่ต้องสู้แสงจ้าโดยตรง โดยคนวัย 40 ที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันนั้นเป็นการจ้องแสงบลูไลท์ตลอด 8 ชั่วโมงอยู่แล้ว
3. จอตาเสื่อม
คืออาการเส้นประสาทตาเสื่อมและเลนส์ตายืดหยุ่นน้อยลง ความสามารถในการปรับระยะชัดหรือการมองเห็นใกล้และไกลน้อยลง เริ่มมองเห็นภาพเบลอจนในที่สุดจะสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
สาเหตุ ปัญหานี้เกิดจากการขาดสารต้านอนุมูลอิสระหรือการเผาผลาญไม่ดี ทำให้สารอนุมูลอิสระที่ร่างกายกำจัดออกไม่หมดตกค้างและไปทำลายเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะดวงตา เส้นเลือดฝอยบริเวณจอตาถูกทำลายง่ายมากซึ่งจะทำให้สูญเสียเซลล์ที่แข็งแรงบริเวณเส้นประสาทตาจำนวนมาก เป็นสาเหตุให้จอตาเสื่อมลง
การแก้ไข หมอแนะนำให้เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้มากขึ้น สารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอยู่ในผักและผลไม้สีสันสดใส โดยเฉพาะสีแดงและสีม่วง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ องุ่นมัลเบอร์รี่ ซึ่งผลไม้เหล่านี้จะมีสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสร้างเม็ดสีให้ทนต่อแสงแดด เพื่อไม่ให้สารอนุมูลอิสระเข้าไปทำร้ายเซลล์ในจอประสาทตาวิตามินเอก็สำคัญสำหรับดวงตา แต่เราต้องคำนึงถึงเรื่องที่ว่าวิตามินเอนั้นละลายในไขมันและถูกดูดซึมผ่านไขมันดี เราจึงต้องกินไขมันดี เช่น โอเมก้า – 3 โอเมก้า – 6 ซึ่งมีอยู่ในอาหารต่างๆ เช่น น้ำมันมะกอก อัลมอนด์ อะโวคาโด เข้าไปด้วย และควรกินในสัดส่วนและปริมาณที่พอเหมาะ อาจเลือกกินผักสลัดราดเดรสซิ่งน้ำมันมะกอกก็ได้
