4. พริกไทยดำ (Black Pepper)
มีสรรพคุณช่วยเพิ่มอุณหภูมิร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่น ลดอาการไข้ ช่วยขับเหงื่อออกทางผิวหนัง ช่วยให้ระบบเผาผลาญและระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น มีฤทธิ์ขับเสมหะบรรเทาอาการไอและลดน้ำมูก และยังช่วยกระตุ้นระบบประสาท ปลุกการรับรู้ ช่วยให้กระปรี้กระเปร่ากระตุ้นความรู้สึกที่ส่งตรงไปยังสมองเพื่อให้สั่งการได้อย่างรวดเร็ว ต้านเชื้อโรคพยาธิ และปรสิตต่างๆ ได้อีกด้วย ส่วนใหญ่นิยมนำมาประกอบอาหารประเภทซุปเพื่อชูรส
5. ขิง (Ginger)
ช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ช่วยให้เลือดแข็งตัวได้เร็วมีคุณสมบัติระงับอาการไข้ได้ (Break Fever) ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวรุมๆ เหมือนจะเป็นไข้ให้ดื่มน้ำขิงร้อน อุณหภูมิร่างกายจะลดลงทันที ทั้งยังช่วยเผาผลาญไขมัน ขับลมในช่องท้องและลำไส้ แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศรีษะ แถมยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ฆ่าเชื้อโรค ต้านแบคทีเรีย และยังช่วยให้ระบบย่อยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยขิงจะไปช่วยต้านการอักเสบ สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์แนะนำให้กินเพื่อบำรุงน้ำนมได้
6. กระเจี๊ยบ (Okra)
กระเจี๊ยบมีลักษณะเป็นฝักเล็กสีเขียว เป็นผักพื้นบ้านของไทย บางคนอาจนึกไม่ถึงว่ากระเจี๊ยบนั้น มีไฟเบอร์สูงมาก มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ช่วยระบบการขับถ่าย ทำงานดีขึ้น เพราะเมือกใสที่มีอยู่ในฝักกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ช่วยลดอาการ ท้องผูก เป็นใยอาหารที่ดีต่อร่างกาย มีโฟเลตสูง เหมาะสำหรับ คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรกินเป็นประจำ ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยการดูดซึมไขมันในเลือด มีวิตามินซี และมีแร่ธาตุสูง แนะนำให้กินโดยการล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก จะกินสดหรือจะต้มทั้งฝัก แต่รักษาให้เมือกยังคงอยู่ก็ได้ประโยชน์ เช่นกัน
7. มะรุม (Moringa)
มะรุมเป็นพืชที่มีสารอาหารครบถ้วน อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และมีวิตามินเอสูง ทั้งยังมี สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ มีสารคลอโรจีนิกแอซิดช่วยรักษาอาการโลหิตจาง เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน ลดอาการอักเสบภายในร่างกายได้ ช่วยต้านสารพิษที่มาจากมลภาวะทั้งหลาย ช่วยให้เซลล์ทำงานดีขึ้นและยังปกป้องเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย นอกจากนี้สารเอทานอลจากมะรุมยังสามารถฆ่าเชื้อราบางชนิด แถมยังมีแคลเซียมและโพแทสเซียมสูงมาก คนไทยส่วนใหญ่ นิยมนำมาทำแกงส้ม