2. มะเร็งมดลูก
มีหลายชนิด แต่ที่พบมากที่สุดคือ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
อาการ
มีเลือดออกกะปริบกะปรอยจากโพรงมดลูก หรือหมดประจำเดือนไปแล้ว แต่กลับมีเลือดประจำเดือนออกมาอีก
ปัจจัยเสี่ยง
พบมากในผู้หญิงที่อยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน วัยหมดประจำเดือน มีน้ำหนักมาก เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคเบาหวาน ไม่
แต่งงาน ไม่มีลูก มีลูกน้อย หรือมีลูกเมื่ออายุเกิน 30 ปี ใช้ฮอร์โมนเพศหญิงเอสโทรเจน (estrogen) โดยที่ไม่ใช้ควบคู่กับฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน (progesterone) การใช้ควบคู่กันสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
วิธีป้องกัน
• เนื่องจากยังไม่มีวิธีคัดกรองโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกแต่เนิ่นๆ จึงควรสังเกตอาการ เช่น มีเลือดออกกะปริบกะปรอยหรือประจำเดือนมาผิดปกติในวัยใกล้หมดประจำเดือนหรือหมดประจำเดือน ซึ่งควรไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรคิดว่าเป็นอาการทั่วไปของคนที่จะหมดประจำเดือน
• โรคนี้มักเป็นในคนอ้วน จึงควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยควบคุมการกินอาหารที่มีไขมันสูง ออกกำลังกายเป็นประจำ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
• ควรควบคุมโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
• ไม่ควรกินฮอร์โมนเพศหญิงเอง ไม่ว่าจะโดยการซื้อสมุนไพรหรือฮอร์โมนที่ใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบัน
• การกินยาเม็ดคุมกำเนิดสามารถลดความเสี่ยงร้อยละ 60 – 80 โดยการป้องกันจะเริ่มมีผลเมื่อกินยาคุมกำเนิดครบ 1 ปี และหลังหยุดกินยังป้องกันต่อได้อีก 15 ปี
3. มะเร็งช่องคลอด
อาการ
อาจไม่แสดงอาการ หรือมีอาการคันและแสบบริเวณช่องคลอด มีตกขาว หรือมีเลือดออกจากช่องคลอด
ปัจจัยเสี่ยง
อายุมากกว่า 60 ปี สูบบุหรี่ ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี(HPV) และเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกที่ลุกลามมายังช่องคลอด
วิธีป้องกัน
• สามารถใช้การป้องกันเช่นเดียวกับโรคมะเร็งปากมดลูก (ดูคอลัมน์เปิดห้องหมอสูติ นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 337 วันที่ 16 ตุลาคม 2555)
• ตรวจภายในเป็นประจำ และทำแป๊ปสเมียร์ (Pap smear) ตามโปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
• ไปพบแพทย์เมื่อช่องคลอดมีอาการผิดปกติ เช่น คัน แสบ ตกขาว มีเลือดออก โดยเฉพาะหากเป็นในคนวัยหมดประจำเดือนจะยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องคลอด
• ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี แม้ว่ายังไม่มีการรับรองในกรณีที่นำมาใช้กับโรคมะเร็งช่องคลอดโดยเฉพาะ แต่ตามหลักวิชาการสามารถป้องกันได้