น้ำมันแฟลกซ์ซี้ด
The European Food Safety Authority (EFSA) แนะนำว่า ร่างกายควรได้รับกรดไขมันโอเมก้า – 3 วันละ 2 กรัม ซึ่งแฟลกซ์ซี้ดเพียง 1 ช้อนโต๊ะ (10 กรัม) สามารถให้กรดไขมันโอเมก้า – 3 สูงเพียงพอต่อความต้องการใน 1 วัน
หลายผลการวิจัยยืนยันว่า แฟลกซ์ซี้ดและน้ำมันแฟลกซ์ซี้ดสกัดมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีรายงานจากวารสาร The International Journal of Food Safety, Nutrition and Public Health พบว่า น้ำมันแฟลกซ์ซี้ด สามารถลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย
How to Cook
น้ำมันแฟลกซ์ซี้ดมีจุดเกิดควันต่ำมาก ต่ำกว่าน้ำมันมะกอก จึงไม่ควรปรุงโดยใช้ความร้อน ควรใช้ผสมในน้ำสลัด หรือจะกินร่วมกับโยเกิร์ตและผลไม้ก็ให้คุณประโยชน์ไม่แพ้กัน
น้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกอุดมด้วยกรดไขมันอิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated Fatty Acid) สูงเช่นเดียวกับน้ำมันอะโวคาโด ทั้งยังมีสัดส่วนของกรดไขมันโอเมก้า – 6 (Omega-6 Fatty Acid) และโอเมก้า – 3 (Omega-3 Fatty Acid) เท่ากับ 10 : 1 ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกัน อัตราส่วนของโอเมก้า – 6 และโอเมก้า – 3 ที่เหมาะสม คือ 5 : 1 ดมื่อเทียบกับน้ำมันชนิดอื่น เช่น น้ำมันข้าวโพด (61 : 1) หรือน้ำมันปาล์มที่มีกรดไขมันโอเมก้า – 6 สูงมาก แต่ไม่มีกรดไขมันโอเมก้า – 3
เพราะเมื่อกรดไขมันท้งั 2 ชนิดทำงานสอดคล้องกันจะช่วยให้ร่างกายสมดุล เช่น หากเกิดบาดแผลมีเลือดออก กรดไขมันโอเมก้า – 6 มีส่วนช่วยให้เลือดแข็งตัวและหยุดไหลเร็วในขณะที่กรดไขมันโอเมก้า – 3 มีคุณสมบัติตรงข้าม คือทำให้หลอดเลือดขยาย เลือดไหลเวียนดีช่วยลดความดันโลหิต
นอกจากนี้น้ำมันมะกอกยังเป็นไขมันหลักในอาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่วารสาร The New England Journal of Medicine ยืนยันว่า หากกินเป็นประจำช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจอายุยืนขึ้นถึง 5 ปี
How to Cook
การกินน้ำมันมะกอกให้มีประโยชน์ควรปรุงโดยไม่ผ่านความร้อน เพราะมีจุดเกิดควันต่ำจึงเหมาะสำหรับปรุงอาหารประเภทผัดไฟอ่อนหรือเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด จึงจะให้คุณค่าทางโภชนาการสูง หากผัดไฟแรงหรือทอดอาจทำให้น้ำมันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเหม็นหืน และอาจเกิดสารก่อมะเร็งได้