i_itti1983
ย้อนบทสัมภาษณ์ลูกกตัญญู! ป๊อป – อารียา สิริโสดา กับวันคืนที่สู้เพื่อแม่
สัมภาษณ์ป๊อป – อารียา กับความปรารถนาอันสูงสุด…เมื่อวันหนึ่งที่คุณแม่ป่วย
ชีวิตนี้ไม่เสียชาติเกิด ครูลิลลี่ กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์
ชีวิตนี้ไม่เสียชาติเกิด ครูลิลลี่ กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ สมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณยังจำครูสอนภาษาไทยคนนี้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สอนหนังสือเหมือนพูดทอล์กโชว์ได้ไหมชีวิตช่วงนั้นของ ครูลิลลี่ กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ แจ้งเกิดเต็มตัวจากการไปออกรายการ ตีสิบ เพราะมีจุดเด่นคือเป็นครูเพศที่สามที่ “จัดเต็ม” เป็นตัวของตัวเองด้วยการแต่งหญิงเต็มที่ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม แล้วสอนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่งแถวสยามสแควร์ ด้วยลีลาการสอนที่ไม่เหมือนใคร เพราะทุกครั้งที่สอน ครูลิลลี่จะเหมือน “องค์ลง” คือเด็กต้องได้ทั้งสาระความรู้และความสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นอักษรกลาง สูง ต่ำ คำเป็น คำตาย ครูลิลลี่จะสามารถสร้างสรรค์เรื่องราวที่ไม่มีในตำราเรียนเพื่อให้เด็กๆ จดจำได้ เช่น อักษร ง-น-ม-ย-ว เป็นอักษรคำเป็น ดังนั้นวิธีการจำง่ายๆ คือจำว่า “มะนงยาเว่อะ เป็นคนเป็นๆ เป็นสาวพม่า” ส่วนอักษร ก-บ-ด เป็นคำตาย “เพราะเป็น กบฏจะต้องตาย” อย่างนี้เป็นต้น ชีวิตคนดัง มีทั้งคนรักคนชัง ตอนนั้นมีแต่คนจำครูลิลลี่ได้ เราก็ต้องยิ้มตลอดเหมือนนางงาม ความเป็นส่วนตัวไม่มีเลย กลายเป็นคนสาธารณะ แต่จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีแต่คนรักไปเสียทั้งหมด […]
มาริโอ้ เมาเร่อ กับรักแท้ที่ยิ่งใหญ่
เมื่อเอ่ยถึงพระเอกพันล้านของเมืองไทย นาทีนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก มาริโอ้ เมาเร่อ
เจสัน ยัง กับการเกิดใหม่อีกครั้งเมื่อพบธรรม
เจสัน ยัง หลังจากที่เขาเพิ่งผ่านพ้นพิธีหมั้นกับแฟนสาวไปไม่นานนัก ทิ้งคำถามไว้มากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ ส่วนหนึ่งจากคอลัมน์ Secret of life ::: การเกิดใหม่อีกครั้งของ JASON YOUNG
เรื่อง พีรภัทร โพธิสารัตนะ ภาพ วรวุฒิ วิชาธร
True story: ผู้หญิง โชคดี กับชีวิตที่ โชกโชน
True story: ผู้หญิง โชคดี กับชีวิตที่ โชกโชน แม้ชีวิตของฉันจะเริ่มต้นจาก “ความไม่พร้อม” ของพ่อและแม่ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังถือว่าตัวเองเป็นคน โชคดี เพราะอย่างน้อยๆ ฉันก็มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกและได้รู้จักชีวิตในแง่มุมต่างๆ…ในขณะที่เด็กอีกหลายคนไม่มีโอกาสนั้น หลังฉันลืมตาดูโลกเพียงสามเดือนพ่อกับแม่ก็แยกทางกัน พ่อนำฉันมาทิ้งไว้กับปู่และย่า แล้วก็ไปขับรถสิบล้อที่ต่างจังหวัด นาน ๆ ครั้งถึงจะกลับบ้าน แต่พอกลับมาพ่อก็ไปอยู่กับภรรยาใหม่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ชีวิตฉันจึงกลายเป็นว่า “มีพ่อก็เหมือนไม่มี” แต่อะไรก็ยังไม่ช้ำใจมากเท่ากับที่ท่านไม่เคยให้ฉันเรียกว่า “พ่อ” เลยตั้งแต่เกิดมา สั่งให้เรียก “พี่” ตลอด บ้านที่ฉันอยู่ เราอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ มีย่าและสามีใหม่ของย่า ลุง อาผู้ชาย และหลาน ๆ อีก 2 – 3 คน ทุกคนดูมีอิสระในการใช้ชีวิตเต็มที่ จะมีก็แต่ฉันที่ถูกเคี่ยวเข็ญมากกว่าใคร ซึ่งนั่นอาจจะด้วยความที่ฉันเป็นหลานสาวคนโตของบ้าน ผิดนิดผิดหน่อยก็มีทั้งบ่น ทั้งด่า รวมทั้งลงไม้ลงมือทำโทษแรง ๆ เพื่อให้หลาบจำไม่มีใครรู้หรอกว่าการลงโทษแต่ละครั้งฉันไม่ได้เจ็บแค่กาย แต่กลับบาดลึกลงไปถึงหัวใจ และทำให้ฉันบอกตัวเองว่า “ต่อไปอย่าพูดมากนะ ใครให้ทำอะไรอย่าปฏิเสธนะ เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องโดนลงโทษแน่ ๆ ” ความหวาดกลัวที่ว่านี้ติดตัวฉันมาตลอดจนเข้าเรียน ป.1 จำได้แม่นว่าวันนั้นฉันปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำมาก แต่ก็ไม่กล้าบอกครู อึกอัก ๆ จนในที่สุดก็อึราดในห้องเรียน นับจากวันนั้นฉันก็โดนเพื่อน ๆ ล้อมาจนจบ ป.6 แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังคงนิ่ง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าปฏิเสธ ไม่กล้าบอกความต้องการของตัวเอง…เหมือนเดิม พอขึ้นชั้น ม.2 แววเกเรก็เริ่มออก ฉันประเดิมด้วยการโดดเรียนไปดูหนังกับเพื่อนแล้วก็ไม่ยอมกลับบ้าน ปรากฏว่า วันนั้นพ่อเกิดกลับมาพอดี พอรู้ว่าฉันไม่ได้กลับบ้านเท่านั้นแหละ พ่อเที่ยวออกตามหาทั้งคืน แต่กว่าจะเจอฉันก็ตอนเย็นของวันรุ่งขึ้นแล้ว พ่อไม่พูดพร่ำทำเพลง กระหน่ำทั้งกำปั้นและฝ่ามือใส่ฉันทันทีด้วยความโกรธ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการสั่งห้ามไม่ให้ฉันไปโรงเรียนอีกต่อไป ความเป็นเด็กทำให้ฉันต้องก้มหน้ายอมรับคำตัดสินของผู้ใหญ่แต่โดยดี ทั้งที่เรื่องก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดนั้น แต่ฉันต้องออกจากโรงเรียนทั้ง ๆ ที่ยังเรียนไม่จบชั้น ม.2 เพื่อมาช่วยงานที่บ้าน หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็พบกับ “รักแรก” ในชีวิต ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เราคบหากัน แต่ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันรู้สึกว่าเขาคือผู้ชายที่ฉันรักและต้องการมากที่สุดในโลก เพียงแค่เขายิ้มให้ฉัน เรากอดกันเบา ๆ จับมือกันแน่น ๆ หัวใจของฉันก็ล่องลอยไปไกลแสนไกลแล้ว ที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันรู้ว่า สิ่งที่ฉันขาดหายและกำลังตามหาอยู่ก็คือ…“ความรัก” นั่นเอง แต่จะด้วยความเป็นเด็กของเราทั้งคู่ก็ดี หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่นานนักเราทั้งคู่ก็เลิกรากันไป หัวใจของฉันว่างอยู่ได้ไม่นาน ฉันก็พบกับรักครั้งที่สอง รักครั้งนี้ทำให้ฉันมีความสุขและคิดถึงอนาคตจนตัดสินใจไปเรียน กศน. แต่เรียนไปได้สักพักฉันก็เกิดตั้งท้องขึ้นมา! เหตุการณ์ตอนนั้นเหมือนละครน้ำเน่าไม่มีผิด เมื่อฝ่ายชายบอกกับฉันด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ผมยังมีอนาคตอีกไกล คงจะรับผิดชอบเธอและลูกในท้องไม่ได้ เอาเด็กออกเถอะ” ถึงฉันจะเสียใจกับคำตอบของชายคนรักคนที่กำลังจะเป็นพ่อของลูกมากเพียงใดก็ตาม แต่นั่นก็ไม่มากเท่ากับคำพูดจากครอบครัวของฉันเองที่สนับสนุนให้เอาเด็กออกท่าเดียว ไม่มีทีท่าจะห้ามปรามยับยั้งใด ๆ เลย ดังนั้น ไม่กี่วันต่อมา แฟนของฉันก็มารับฉันไปที่คลินิกแห่งหนึ่ง ความรู้สึกตอนที่ขึ้นขาหยั่งมันแย่เสียยิ่งกว่าแย่ ฉันกลัวจนตัวสั่นไปหมด ไม่มั่นใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป และทันทีที่หมอเริ่มใช้เครื่องมือควานหาเด็ก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นถึงกับทำให้ฉันภาวนาขอให้มีคนมาช่วยฉันออกไปจากตรงนี้ที รวมทั้งอยากได้ยินใครสักคนบอกฉันว่า “ไม่เป็นไรนะ เข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้น อย่าทำอย่างนี้เลย ลงมาเถอะลูก” แต่นั่นก็เป็นได้แค่ความคิดเท่านั้น ร่างของฉันยังคงอยู่บนขาหยั่งและทุกอย่างก็ดำเนินต่อไปด้วยความเจ็บปวด โชคดีที่ฉันผ่านฝันร้ายนั้นมาได้โดยไม่มีอาการตกเลือดหรือติดเชื้อตามมา เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น แฟนคนนี้ก็โบกมือลาฉันไป ถึงจะเสียใจแค่ไหน แต่ชีวิตต้องเดินต่อไป คราวนี้ฉันตัดสินใจไปร้องเพลงที่คาเฟ่ตามที่เพื่อนชวน เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเอง จนกระทั่งสามารถเรียนจบ กศน.ได้วุฒิ ม.3 มา จากนั้นฉันก็พบรักครั้งที่สาม แฟนคนนี้ดูจะเป็นคนดีกว่าใคร เขาสนับสนุนให้ฉันเรียนต่อ ม.4 ยอมเจียดค่าขนมของตัวเองเพื่อให้ฉันได้ไปโรงเรียนทุกวัน ๆ แต่ไม่นานนักหนังม้วนเดิมก็ย้อนกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง นางเอกตั้งท้อง พระเอกไม่พร้อมด้วยเหตุผลเดิม ๆ “ผมยังไม่พร้อม ผมยังต้องมีอนาคตต่อไป” ถึงจะปวดใจแค่ไหน แต่ฉันก็ตัดใจไปจากเขาไม่ได้จริง ๆ ถึงต้องเจ็บต้องเสี่ยงฉันก็ยอม ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้เหมือนครั้งก่อน จะต่างกันก็ตรงที่ว่า ครั้งนี้มดลูกของฉันเกิดอักเสบขึ้นมา โชคดีว่ามีคุณหมอใจดีช่วยดูแลให้เป็นพิเศษ ฉันจึงผ่านช่วงวิกฤตินั้นมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ต่อจากนั้นทุกอย่างก็เข้ารอยเดิม ด้วยความกลัวว่าแฟนจะไม่รัก กลัวแฟนไปมีคนอื่น ฉันจึงละเมิดคำเตือนของคุณหมอด้วยการยอมตามใจแฟน…ในที่สุดก็ตั้งท้องอีกครั้งในระยะเวลาที่ห่างกันเพียงแค่เดือนเดียว! ถึงจะรู้ว่าการทำแท้งติด ๆ กันจะมีความเสี่ยงต่อชีวิตสูงชนิดเป็น–ตายเท่ากัน แต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพราะถ้าไม่ทำ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีปัญญาเลี้ยงเด็กที่เกิดมาได้อย่างไร สุดท้ายคุณหมอท่านเดิมก็ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้จนสำเร็จ เหลือทิ้งไว้แต่มดลูกที่บอบช้ำอย่างหนัก…จนฉันรู้ดีว่าต่อไปนี้คงจะมีลูกไม่ได้อีกแล้ว หลังจากหายดี ฉันก็ได้รับข่าวร้ายว่าครอบครัวของแฟนสั่งให้เราเลิกคบกันอย่างเด็ดขาด ซึ่งแฟนก็ยอมแต่โดยดี คราวนี้เมื่อไม่มีเขาอีกแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร ฉันหันกลับมาหางานทำเลี้ยงตัวเอง แต่ก็ต้องเผชิญทั้งการถูกหลอก ถูกดูถูกต่าง ๆ นานา เพราะฉันมีวุฒิติดตัวแค่ ม.3 เท่านั้น สุดท้าย เมื่อไม่มีทางอื่นให้เลือกอีกแล้วจริง ๆ ฉันจึงตัดสินใจไป “ขายบริการ” ที่หาดใหญ่พร้อมกับเพื่อนที่อยู่ข้างบ้าน อาชีพนี้ทำให้ฉันขยะแขยงตัวเองไม่น้อย เพราะไหนจะต้องยุ่งเกี่ยวกับคนแปลกหน้า ไหนจะต้องฝืนทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา แต่เพื่อ “รายได้” เลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้ว ฉันจำเป็นต้องยอม เชื่อไหมว่า แม้จะทำอาชีพอย่างนี้ก็ยังนับว่าตัวเองโชคดี เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มาซื้อบริการในลักษณะ “เพื่อนเที่ยว” ฉันจึงได้ไปกิน ดื่ม เที่ยวมาแล้วเกือบทั่วภาคใต้ และที่ถือว่าโชคดีที่สุดก็คือ ตั้งแต่ทำงานนี้มา ฉันป้องกันตัวเองอย่างดีมาตลอด ได้เจอแขกที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่อย่างนั้นแล้วฉันอาจจะโชคร้ายเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ตั้งแต่อายุเพียง 28 ปีเท่านั้น การจากไปของเพื่อนในครั้งนั้น ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่าฉันต้องรีบผลักตัวเองออกมาจากอาชีพนี้ให้เร็วที่สุด ฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนงานเพื่อตัวเองและเพื่อแฟนใหม่ (เพราะไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันทำงานอะไร) ทว่าไม่นานนัก รักที่เคยหวานก็เริ่มขมลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็เลิกรากันไป คราวนี้ฉันเสียใจอย่างหนัก เอาแต่ร้องไห้ เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่กิน ไม่นอน เครียดมากจนอยากฆ่าตัวตาย โชคยังดีที่ฉันมีสติพอที่จะโทรศัพท์กลับไปหาคุณอา ขอให้ท่านมารับกลับบ้าน ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจทำอะไรโง่ ๆ ลงไป หลังกลับมาอยู่กรุงเทพฯ พอฟื้นฟูสภาพจิตใจได้สักพัก ฉันก็กลับไปร้องเพลงในคาเฟ่อีกครั้ง ส่วนหัวใจก็ยังเรียกร้องหาความรักอีกเหมือนเคย คราวนี้เรียกว่าเนื้อหอมที่สุด เพราะมีทั้งแฟน ทั้งกิ๊กวุ่นวาย แต่สุดท้ายก็เลิกรากันไปหมด จนกระทั่งได้มาเจอกับแฟนอีกคน ซึ่งเปลี่ยนชีวิตฉันให้กลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง คราวนี้ฉันตัดสินใจเลือกเรียนอาชีวะ เพราะอยากได้วุฒิการศึกษาที่สามารถใช้ทำงานได้เลย ฉันตั้งหน้าตั้งตาเรียน ทำกิจกรรมทุกอย่าง ผลปรากฏว่า แค่เทอมแรกฉันก็สามารถคว้าที่หนึ่งมาได้ ไม่ใช่ที่โหล่หรือรองสุดท้ายของห้องอย่างที่เคยได้มาตลอด ความสำเร็จเล็ก ๆ นี้ทำให้ฉันรู้ว่า “คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ ถ้าตั้งใจจริง ฉันก็เรียนได้ไม่แพ้ใครเหมือนกัน” ด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยมตลอดสามปีทำให้ฉันเริ่มคิดจะเรียนให้สูงขึ้นไปอีก แต่ก็ติดขัดว่าสาขาที่ฉันต้องการเรียนนั้นไม่มีเปิดสอน สุดท้ายฉันก็ระหกระเหินกลับไปทำงานคาเฟ่บ้าง เปิดร้านเหล้าบ้าง แม้กระทั่งเปิดคาร์แคร์ แต่สุดท้ายก็ไม่ต่างจากการมีความรักที่ต้องจบลงด้วยความเศร้าและการเลิกราทุกทีไป […]
วัชรธรรมสถาน แหล่งปฏิบัติธรรมสายวัดป่าใกล้กรุง
วัชรธรรมสถาน แหล่ง ปฏิบัติธรรมสายวัดป่า ใกล้กรุง หากคุณอยากฝึก ปฏิบัติธรรมตามวัดสายป่า แต่เพิ่งอยู่ในระดับเริ่มต้น วัชรธรรมสถาน คือหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ วัชรธรรมสถานก่อตั้งโดย พล.ร.ต. นพ. ดร.ปิโยรส ปรียานนท์ ประธานมูลนิธิดวงแก้วในพระสังฆราชูปถัมภ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 มุ่งหวังให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้เน้นสอนความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิถีปฏิบัติสายพระป่ากรรมฐาน ตั้งแต่การนั่งสมาธิ เดินจงกรมการถวายสิ่งของแด่พระสงฆ์ที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถนำความรู้ที่ได้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน พล.ร.ต.นพ. ดร.ปิโยรส กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งว่า “เพื่อนำธรรมะมาสู่ใจคน หวังว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่เรามอบให้จะอยู่ในจิตใจของผู้มาปฏิบัติธรรม หากเขาทำดีต่อไป วันหนึ่งเขาอาจกลายเป็นผู้มอบเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไปสู่ใจผู้อื่น นี่คือเป้าหมายสูงสุดของเรา” แนวทางปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 คือ การเจริญสติให้อยู่กับกายและใจ หลักสูตรที่เปิดรับ หลักสูตรปฏิบัติธรรมระยะสั้น 3 วัน (วันศุกร์ - วันอาทิตย์) เดือนละ 1 ครั้ง โดยอาราธนาพระอาจารย์สายหลวงปู่มั่นทั่วประเทศมาเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ระเบียบปฏิบัติ 1. สมัครปฏิบัติธรรมที่ http://vacharadham.com เท่านั้น ไม่มีค่าใช้จ่าย 2. อายุ 15 ปีขึ้นไป ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง สุขภาพจิตปกติ ช่วยเหลือตนเองได้ 3. รักษาศีล 8 ปิดวาจา งดสูบบุหรี่และสิ่งเสพติดทุกชนิด และปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัดตลอดระยะเวลาที่กำหนด 4. งดใช้เครื่องมือสื่อสาร เครื่องใช้และเครื่องไฟฟ้าทุกชนิด ไม่พูดคุยหรือติดต่อกับผู้อื่น ยกเว้นธรรมบริกร 5. การแต่งกายสีขาวหรือดำ ไม่สวมกางเกงขาสั้น ขาสามส่วน หรือมีลวดลาย สุภาพสตรีไม่ควรใส่เสื้อบางหรือรัดรูป ควรมีสไบเพื่อความเรียบร้อย 6. ไม่อ่านหรือเขียนหนังสือ ทำงาน ฟังวิทยุ เทป นอกจากที่วัชรธรรม-สถานกำหนด 7. สำรวมกาย วาจา ใจ ไม่รบกวนสมาธิของผู้อื่น ทั้งในขณะปฏิบัติและเวลาพักผ่อน หมายเหตุ* ระเบียบปฏิบัติข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระเบียบปฏิบัติทั้งหมด โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://vacharadham.com/rules.php กิจวัตรปฏิบัติธรรม วันแรก : ลงทะเบียนก่อนเวลา 9.00 น. ปฐมนิเทศ สมาทานศีล 8 จากพระวิปัสสนาจารย์ จากนั้นรับประทานอาหารกลางวัน ช่วงบ่ายปฏิบัติธรรมเดินจงกรม นั่งสมาธิ และพักผ่อนตามอัธยาศัย ช่วงเย็นทำวัตรเย็น ฟังเทศน์ และตอบปัญหาธรรม วันที่สอง : ตื่นนอนเวลา 4.00 น. ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิเดินจงกรม จากนั้นรับประทานอาหารเช้า พักผ่อนตามอัธยาศัยหรือทำความสะอาดธรรมสถาน ช่วงบ่ายและเย็นปฏิบัติเช่นเดียวกับวันแรก วันที่สาม : ปฏิบัติเช่นเดียวกับวันที่สอง จนถึงเวลา12.00 น.จึงเปิดวาจาสนทนาธรรมกับผู้ร่วมปฏิบัติ เพื่อเป็น กัลยาณมิตรที่ดีต่อกันในอนาคต เวลาประมาณ 15.00 น.มีพิธีปิดการอบรม ลาศีล 8 และสมาทานศีล 5 และอโหสิกรรมต่อกัน เรียนรู้การปฏิบัติธรรมขั้นพื้นฐานตามวิถีปฏิบัติสายพระป่า เพื่อความสงบสุขและร่มเย็นในจิตใจ สถานปฏิบัติธรรมวัชรธรรมสถาน ตั้งอยู่ที่ 213 - 31 ถนนนครชัยศรี - ดอนตูม ตำบลห้วยพลู อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 08-0620-2266 หรือ http://vacharadham.com ภาพ วรวุฒิ วิชาธร บทความน่าสนใจ วัดป่าเชิงเลน ซอยจรัญสนิทวงศ์ 37 สถานปฏิบัติธรรมอันเงียบสงบกลางกรุง ปฏิบัติธรรมท่ามกลางสัปปายะทั้ง 7 ณ วัดป่าธรรมสุข จำได้ไหม อิคคิวซังเมืองไทย น้องกร […]
สูตรแห่งความสำเร็จ ของ ครูซุปเค (Sup’k)
สูตรแห่งความสำเร็จ ของ ครูซุปเค (Sup’k) สูตรความสำเร็จนี้ จะเท็จหรือจริง เรื่องราวของ คุณศุภฤกษ์ สกุลชัยพรเลิศ เจ้าของสถาบันกวดวิชาชื่อดัง Sup’k Center หรือที่เด็กนักเรียนเรียกกันติดปากว่า ครูซุปเค (Sup’k) ที่ทุกคนกำลังจะได้อ่านนี้ คงให้คำตอบคุณได้… การทำงานหนัก H (8) + A (1) + R (18) + D (4) + W (23) + O (15) + R (18) + K (11) จะมีค่าเท่ากับ 98 เปอร์เซ็นต์ ความรู้ K (11) + N (14) + O (15) + W (23) + L (12) + E (5) + D (4) + G (7) + E (5) จะมีค่าเท่ากับ 96 เปอร์เซ็นต์ ความรักในงาน L (12) + O (15) + V (22) + E (5) จะมีค่าเท่ากับ 54 เปอร์เซ็นต์ และโชค L (12) + U (21) + C (3) + K (11) จะมีค่าเท่ากับ 47 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่จะนำทางให้ชีวิตของเราสำเร็จได้อย่างแท้จริงนั้นคือทัศนคติ A (1) + T (20) + T (20) + I (9) + T (20) + U (21) + D (4) + E (5) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างนั่งรอซุปเคในบ้านหรู เรามีโอกาสได้สนทนากับคุณแม่ชื่นฤดี สกุลชัยพรเลิศ มารดาสุดที่รักของซุปเค ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวของซุปเคเมื่อครั้งยังเยาว์ “สมัยก่อนบ้านเราไม่มีเงิน จนมาก โชคดีที่ลูกสอบเข้าโรงเรียนเอกชนที่ดีและใกล้บ้านได้ แต่แม่ก็ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะส่งลูกไปเรียนพิเศษหรือซื้อของเล่นแพงๆ เหมือนเด็กคนอื่นๆ เขา” ชีวิตช่วงนั้นของคุณแม่มีตัวแปรที่เรียกว่า “อุปสรรค” ถาโถมเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า…ทำให้เธอต้องเปลี่ยนจากอาชีพหนึ่งไปอีกอาชีพหนึ่งอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นคนใช้ ครูสอนตัดเสื้อ คนขายขนมปัง เซลส์ขายของ เปิดเนิร์สเซอรี่ ขายข้าวสาร ขายที่นอน “เวลาทำงานอะไร เราทำแล้วรุ่งก็จริง แต่ก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนงานตลอด อย่างตอนขายขนมปัง พอเราเริ่มขายดีเอเย่นต์ที่เราไปรับขนมปังมาขาย ก็เอาขนมปังเก่าๆ ที่เจ้าอื่นขายไม่ออกมาให้เรา ลูกค้าเลยหนีหายไปหมด ต้องเลิกทำไป หรืออย่างตอนขายข้าวสาร ตอนแรกขายดีนะ แต่พอมีห้างใหญ่มาเปิด เราก็ขายแทบไม่ได้…ทุกครั้งที่ชีวิตกำลังจะมั่นคงก็จะถูกล้มกระดาน เลยต้องเริ่มต้นใหม่ตลอด “แต่อันที่จริงก็ต้องขอบคุณที่เกิดมาจน เลยทำให้ลูกของเราได้เรียนรู้อะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น” ลูกชายสองคนนี้ได้เห็นแม่ลำบากมาตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่รีรอที่จะช่วยเหลือมารดาทุกครั้งที่มีเวลาและแรงกำลัง “ไม่ว่าแม่จะทำอะไรลูกๆ จะช่วยเหลือแม่ตลอด อย่างซุปเคกับพี่ชาย ถ้าช่วงไหนไม่ได้เรียนหนังสือ เขาจะมาช่วยงานแม่…เฝ้าร้าน แบกข้าวสารขัดห้องน้ำ ขนของ ส่งของ” หลังจากซุปเคก้าวเข้ามาร่วมสนทนาได้สักพัก ก็กล่าวเสริมขึ้นว่า…“ตอนเด็กๆ ผมเคยไปรับจ้างขัดหนังหมู…ต้องตื่นแต่เช้าขัดหนังหมูที่เขาเพิ่งฆ่าเสร็จให้สะอาด แล้วก็ล้างเอาของเสียในลำไส้หมูออกให้หมด “บางครั้งผมกับพี่ชายก็ต้องไปขอสมุดหน้าเหลืองที่ไม่ใช้แล้วตามบ้านคนอื่นมาพับถุงขาย…100 ใบได้ประมาณ 50 สตางค์ถ้าไปขอบ้านคนที่ใจร้ายหน่อย ก็จะโดนไล่เหมือนหมูเหมือนหมา” “ใจจริงของแม่แล้ว เงินไม่ได้สำคัญมากไปกว่าการที่เขาเรียนรู้เรื่องการทำงาน…ถ้าเราได้แต่บอก บ่น หรือเล่าให้เขาฟังเขาจะไม่มีวันรู้ว่าพ่อแม่ลำบากแค่ไหน แต่ถ้าได้ทำงาน เขาจะรู้เองว่าเขาต้องขยันเรียน โตขึ้นจะได้ไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้” คุณแม่เสริมในสิ่งที่ลูกชายกล่าว ก่อนที่ซุปเคจะเล่าต่อถึงงานของแม่ที่ทำให้ความฝันของตนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา… “คุณแม่เป็นครูที่สอนเก่งมาก เคยสอนให้เด็กก่อนวัยเรียนสามารถบวกเลขสองหลักได้ เมื่อคนรู้ข่าวก็เลยพูดกันปากต่อปาก และเอาลูกมาฝากที่เนิร์สเซอรี่ของคุณแม่หลายคนแต่ก็ปรากฏว่ามีคนแจ้งให้กระทรวงศึกษาฯมาตรวจที่นี่ สุดท้ายเนิร์สเซอรี่เลยโดนปิด ด้วยเหตุผลเดียวคือคุณแม่ไม่มีวุฒิการศึกษา” ลูกชายเห็นแม่หลั่งน้ำตาอยู่หน้าเนิร์สเซอรี่ ก็ได้แต่กอดแม่และบอกอย่างมุ่งมั่นว่า “แม่เป็นครูไม่ได้ เดี๋ยวผมจะเป็นแทนแม่เอง” ตั้งแต่นั้นมา เวลาเกือบทั้งหมดของซุปเคจึงหมดไปกับการช่วยเหลือครอบครัว และศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ใส่ตัวมากกว่าจะเที่ยวเตร่เฮฮากับเพื่อน ด้วยความที่อยากให้แม่ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ่ายค่าเทอม หลักจากเรียนจบชั้นมัธยม 1 ซุปเคจึงตัดสินใจอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อสอบเทียบเข้าเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผลปรากฏว่าเขาสามารถประหยัดค่าเทอมให้มารดาได้ถึง 2 ปีจริงๆ “ตอนแรกแม่ก็กังวลว่าเด็ก ม.1 ไปเรียนกับเด็ก ม.4 แล้วลูกจะเครียดหรือเปล่า แต่ผลปรากฏว่า พอสอบออกมาแล้วลูกได้ท็อปคณิตศาสตร์ ที่เหลือก็ได้เกรดสี่ทั้งหมด ยกเว้นอังกฤษ แถมยังได้เป็นตัวแทนไปแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิก 2 ปีซ้อนด้วย” เวลาว่างจากการเรียน นอกจากเขาจะช่วยสอนหนังสือเพื่อนๆ อย่างสม่ำเสมอแล้ว ซุปเคยังเป็นนักกิจกรรมตัวยงของโรงเรียน โดยที่การเรียนไม่เคยตก และสามารถสอบเข้าเรียนต่อที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ในที่สุด “ตอนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ครอบครัวเราเริ่มเป็นหนี้ผมจึงอยากสอนพิเศษเพื่อหาเงินมาช่วยพ่อแม่ แต่ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งสอนเลย ท่านกลัวเราจะเหนื่อย แต่พออยู่ปีสามเศรษฐกิจตกต่ำสุดๆ ข้าวสารเริ่มขายไม่ออก ผมเลยตัดสินใจขอพ่อแม่อีกครั้ง เพื่อเปิดสอนคณิตศาสตร์ให้กับเด็กๆ ตามโต๊ะในมหาวิทยาลัย “สอนไปสักพักก็เริ่มโดนไล่ที่ จึงเปลี่ยนมาสอนที่บ้าน แต่แล้วก็มีคนโทร.ไปบอกกระทรวงศึกษาฯ ว่าผมเปิดสอนเถื่อน ดีที่ก่อนหน้าที่เขาจะมาตรวจได้สองวัน ผมได้ไปยื่นขออนุญาตไว้แล้ว ตอนมาตรวจเลยไม่มีปัญหาอะไร “จะว่าเป็นโชคดีก็ได้ที่มีคนแกล้ง เพราะมันช่วยกระตุ้นให้เราเจริญขึ้น และทำให้ผมตัดสินใจที่จะไปตั้งโรงเรียนกวดวิชา Sup’k Center ใกล้ๆ สยามฯ แทน พอเปิดแล้วคนเลยยิ่งเยอะ เพราะเดินทางสะดวกกว่าเดิม ทางด้านคุณแม่เองก็กลายเป็น “ครูแนะแนว” ประจำสถาบันแห่งนี้ แบบไม่ต้องมีวุฒิมารองรับไปโดยปริยาย “ไม่เหนื่อยบ้างหรือ” หลายคนคงตั้งคำถามเช่นเดียวกับเราซุปเคยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบว่า “เหนื่อยสิครับ อย่างตอนปี 3 ต้องมีการฝึกงานที่โรงงานเคมีแถวพระประแดง ทุกวันหลังฝึกเสร็จ ผมต้องนั่งมอเตอร์ไซค์กลับมาสอนเด็กรอบเย็นให้ทัน และต้องทำชีทถึงตีสองตีสามทุกคืน แต่ไม่เป็นไร…เหนื่อยก็นอนเดี๋ยวก็หาย ถ้าเรามัวเอาเวลาไปท้อจนนอนไม่หลับ แล้วเราจะเอาเวลาไหนมามีความสุขล่ะครับ” หลังจากสอนที่สยามฯไปสักระยะ กราฟชีวิตของครอบครัวเริ่มดิ่งลงอีกครั้ง เมื่อเจ้าของที่แจ้งว่ามีคนต้องการซื้อตึกไปทำโรงแรม และต้องย้ายออกก่อนหมดสัญญา! “พอรู้ข่าวปุ๊บ แม่แซวลูกทันทีว่า ออกตอนนี้เลยไหมลูกเพราะแม่เชื่อว่าเขาจะไล่ให้เราไปรวยขึ้น เจริญขึ้น…” คุณแม่เล่าแทรกเรื่องเครียดให้กลายเป็นขำ ซุปเคเสริมว่า… “ถ้าคนเราเอาแต่คิดว่าปัญหามาอีกแล้ว ก็มักจะไปจมอยู่กับปัญหาและความทุกข์…และถ้ามัวแต่โอดครวญว่าเราลงทุนไปตั้งเยอะแล้ว จะให้ย้ายออกไปได้ยังไง ดีไม่ดีก็ต้องทะเลาะกับเจ้าของที่ ฟ้องกันไม่จบ ไม่ต้องทำมาหากิน ดังนั้นต้องรู้จักมองไปข้างหน้าและหัดปล่อยวางให้เป็น เรื่องวุ่นๆมันก็จะจบลงง่ายๆ…จำไว้เลยว่า ยิ่งเกลียดทุกข์ ยิ่งกลัวทุกข์…ก็ยิ่งเป็นทุกข์” เมื่อไม่มัวเสียเวลาคร่ำครวญและเอาเวลาไปเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา “ปัญหา” จึงกลายเป็นหินลับมีดให้กับ “ปัญญา” ลบคูณลบจึงกลายเป็นบวก วิกฤติการณ์ที่มีจึงพลิกกลับเป็นโอกาสอีกครั้ง “ตอนนั้นกลับกลายเป็นว่าได้มาเจอที่ดินแถวสีลมติดรถไฟฟ้า ราคาเกือบสามสิบล้าน ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับราคาประเมิน แต่ก็แพงสำหรับพวกเราอยู่ดี ช่วงนั้นถือเป็นช่วงยากลำบากของชีวิตเหมือนกัน” สุดท้ายเราตัดสินใจกู้เงินประมาณหกสิบล้าน ขายบ้านขายของทุกอย่างที่มีมาจ่ายเงินแต่ละงวด จำได้ว่าตอนนั้นเวลานอนก็จะนอนรวมๆ กันบนฟูกแคบๆ ในตึกที่กำลังสร้างอยู่ถึงแม้จะอึดอัดกาย แต่ก็อบอุ่นใจมาก “ผมกู้เงินจากญาติคนหนึ่ง ที่เขาให้ผมกู้เพราะผมเป็นคนไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน และไม่ใช้ของฟุ่มเฟือย มีเงินเท่าไรก็ให้พ่อแม่หมดทำให้เขาอุ่นใจว่าคนอย่างเราคงไม่โกงเขาแน่นอน” […]
บทสวดศพ อภิธรรม 7 คัมภีร์ แปล
บทสวดศพ อภิธรรม 7 คัมภีร์ แปล พระสังคิณี กุสะลา ธัมมา, พระธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล, ให้ผลเป็นความสุข อะกุสะลา ธัมมา, ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล, ให้ผลเป็นความทุกข์, อัพ๎ยากะตา ธัมมา, ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากฤต, เป็นจิตกลางๆ อยู่, กะตะเม ธัมมา กุสะลา, ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล ยัส๎ะมิง สะมะเย, ในสมัยใด, กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติโสมะนัสสะสะหะคะตัง, กามาวจรกุศลจิตที่ร่วมด้วยโสมนัส, คือความยินดี, ญาณะสัมปะยุตตัง, ประกอบด้วยญาน คือ ปัญญาเกิดขึ้น ปรารภอารมณ์ใด ๆ, รูปารัมมะนัง วา, อารมณ์ทางรูปก็ดี, สัททารัมมะนัง วา, อารมณ์ทางเสียงก็ดี, คันธารัมมะนัง วา, อารมณ์ทางกลิ่นก็ดี, ระสารัมมะนัง วา, อารมณ์ทางรสก็ดี, โผฏฐัพพารัมมะนัง วา, อารมณ์สัมผัสกายก็ดี, […]
ความลับของ หลุยส์ สก๊อต ผู้ชายที่ใครๆ ก็ตกหลุมรัก
ความลับของ หลุยส์ สก๊อต ผู้ชายที่ใครๆ ก็ตกหลุมรัก หนุ่มลูกครึ่งไทย สกอต จีน คนนี้ เรามักคุ้นเคยเขาในฐานะนักแสดงหนุ่มผมยาว เจ้าของรอยยิ้มหวาน อันทรงเสน่ห์ พร้อมบุคลิกน่ารัก แลดูอบอุ่นไม่เหมือนใครในขณะที่หลายคนอาจคุ้นตากับภาพเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก กระโดดโลดเต้นจับไมค์ร้องเพลงบนเวทีอย่างสนุกสนานตั้งแต่หลายปีก่อนมากกว่าแต่ไม่ว่าคุณจะรู้จักเขาในฐานะใด ก็มั่นใจว่าเขา หลุยส์ สก๊อต คงเคยสร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้คุณได้ไม่มากก็น้อย คุณหลุยส์เติบโตมาในครอบครัวแบบไหนคะ ผมโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ครับคุณพ่อเสียตั้งแต่ผมอายุสี่ขวบ คุณแม่เลี้ยงผมและพี่ชายมาลำพังคนเดียว คุณแม่ต้องเปลี่ยนชีวิตใหม่ทั้งหมด จากที่เคยเป็นแม่บ้านมาตลอด ก็ต้องออกไปหางานทำเพื่อเอาเงินมาจ่ายค่ากับข้าวและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทุกอย่าง แต่โชคดีที่คุณพ่อมองการณ์ไกล ท่านวางแผนเตรียมเงินค่าเทอมของผมและพี่ชายเอาไว้ตั้งแต่ก่อนท่านเสียแล้ว เพราะโรงเรียนของผมค่าเทอมแพงมาก เทอมละประมาณสามแสนบาท รวมค่าเทอมของเราสองพี่น้องก็ตกปีละหนึ่งล้านสองแสนบาท แต่ถึงอย่างนั้น คุณแม่ก็ยังต้องแบกรับภาระอื่น ๆ อยู่ดี ซึ่งผมเพิ่งมารู้ตอนทำงานแล้วว่า รายจ่ายของครอบครัวในแต่ละเดือนสูงมาก แต่คุณแม่ก็ไม่เคยบ่นเลยสักครั้ง ไม่เคยแม้แต่จะหงุดหงิดใส่ลูกด้วยซ้ำ ผมเห็นท่านก้มหน้าก้มตาทำงานลูกเดียว ทั้งทำงานข้างนอก ทำงานบ้านและยังต้องดูแลลูกชายที่ซนอย่างกับลิงตั้งสองคนอีก ถึงแม้ตอนนั้นผมจะเด็กมากแต่ก็เห็นสิ่งที่แม่ทำเพื่อเรามาตลอดจนชินตา แล้วช่วงนั้นคุณหลุยส์ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของคุณแม่บ้างหรือเปล่าคะ ช่วยครับ แต่ก็ไม่มาก ส่วนใหญ่ผมจะช่วยทำความสะอาดบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆเช่น เก็บที่นอนตัวเอง ล้างจาน เช็ดโต๊ะแค่นี้ก็จะออกไปวิ่งเล่นแล้ว จำได้ว่ามีวันหนึ่งผมและพี่อยากหางานพิเศษทำเพื่อเอาเงินไปช่วยแม่ มองไปมองมาเห็นนักเรียนช่างกลกำลังนั่งอ๊อกเหล็กกันอยู่ก็เลยเข้าไปถามเขาว่าได้เงินเท่าไร พอรู้ว่าได้เงินเดือนละ 2,500 บาทเท่านั้นแหละ เราตาโตกันใหญ่ โหย-ย-ย…อยากได้เงินเยอะ ๆแบบนั้นบ้าง พวกเรารีบวิ่งกลับบ้านไปขออนุญาตแม่ พอท่านทราบก็โวยวายใหญ่ว่า“พวกยูอายุแค่ 10 ขวบ จะไปทำงานอันตรายแบบนั้นได้ยังไง เอาเวลาไปอ่านหนังสือตั้งใจเรียน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดดีกว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน แม่จัดการเองได้ ” ผมกับพี่ก็เลยจ๋อยกันทั้งคู่ (หัวเราะ) ผมเริ่มช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินของคุณแม่ได้จริง ๆ ก็ตอนอายุ 11 ขวบ ที่เข้าวงการบันเทิงเป็นนักร้องวงแร็พเตอร์นั่นแหละครับ ตอนนั้นเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่ค่อยได้ใช้เงินคุณแม่ จริง ๆแล้วผมก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินตัวเองด้วยเหมือนกันนะ (หัวเราะ) เพราะทำแต่งานจนแทบไม่มีเวลาแม้กระทั่งไปโรงเรียนเลยด้วยซ้ำแต่คุณแม่ก็ยังต้องเหนื่อยกายอยู่ดี เพราะนอกจากจะต้องทำงานแล้ว ท่านยังต้องคอยไปรับ–ส่งผมตามงานโชว์ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯแทบทุกวันด้วย แต่แม่ก็ทำทุกหน้าที่อย่างดีเยี่ยม ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเลยสักครั้ง พอผมอายุประมาณ 15 ปี ก็มีรายได้เพิ่มมากขึ้นเลยตัดสินใจขอให้แม่ลาออกจากงานเพื่อมาดูแลผมอย่างเดียว เงินทุกบาทที่หาได้ ผมก็ให้แม่เป็นคนจัดการทั้งหมด ผมไม่อยากให้แม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว ซึ่งแม่ก็ยอมทำตามคำขอร้องของผม และคอยดูแลผมมาตั้งแต่นั้นครับ ดูแลกันและกันดีแบบนี้ คำสอนของคุณแม่ข้อไหนที่รู้สึกประทับใจมากที่สุดคะ “ความจำเป็น” ครับ คุณแม่ชอบเตือนเสมอว่า จำเป็นไหม จำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้ไหม จำเป็นที่จะต้องพูดแบบนี้ไหมจำเป็นหรือเปล่า เคยมีครั้งหนึ่งค่ายอาร์เอสพาศิลปินในค่ายทั้งหมดไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่ญี่ปุ่นฟรี ขากลับทุกคนก็ซื้อของกลับบ้านกันกระหน่ำมือ แต่ผมซื้อดินสอกลับบ้านแค่แท่งเดียว เพราะเป็นดินสอสีที่เมืองไทยไม่มี ใคร ๆ ก็มารุมถามว่า ทำไมซื้อน้อยจังผมบอกว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อ ทั้ง ๆ ที่ในใจผมอยากได้รองเท้าคู่หนึ่งมากเลยนะ แต่คิดทบทวนหลายรอบแล้ว รู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องซื้อ เพราะที่บ้านมีรองเท้าตั้งสองคู่แล้วยังใส่ได้ดี ไม่ขาดเลย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทุกคนก็ล้อว่าผมเป็นคนขี้งก แต่ผมก็งกจริง ๆนั่นแหละครับ (หัวเราะ) ผมคิดเยอะน่ะครับและอีกอย่าง ผมเห็นคุณแม่เหนื่อยมาตลอดแล้วด้วย ไม่อยากให้ท่านกลับไปเหนื่อยอีก ทราบมาว่านอกจากดูแลคุณแม่แล้วยังช่วยจ่ายค่าเทอมให้พี่ชายไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย ใช่ครับ ตอนเป็นนักร้อง ผมแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลยนอกจากทำงานจะได้ไปโรงเรียนก็วันศุกร์ เพื่อไปรับการบ้านเอามาทำเท่านั้น แต่สจ๊วต (พี่ชาย) ไม่ได้ทำงาน เขาได้เรียน ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติ พอเรียนจบ เขาก็อยากไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่เงินทุนการศึกษาของคุณพ่อหมดเกลี้ยงตั้งแต่เราจบไฮสกูลแล้วเราสามคนแม่ลูกจึงปรึกษากันจนได้ข้อสรุปว่า หลุยส์จะช่วยเรื่องเงินค่าเรียน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในช่วงแรกไปก่อน พอสจ๊วตเรียนจบแล้ว ก็ค่อยกลับมาช่วยกันดูแลครอบครัว ดูแลแม่ เหมือนเป็นการลงทุนชีวิตด้วยกันครับ ช่วงที่หายไปจากวงการ ไม่มีชื่อเสียงและแทบไม่มีเงินเข้ามาเหมือนเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไรคะ ขอเล่าก่อนว่า วงแร็พเตอร์มีนักร้องสองคน คือ ผมและจอห์นนี่ เราทำงานด้วยกันทุกวัน เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีวันหยุดเลยตั้งแต่อายุ 11 ปี พอผ่านมาแปดปี พวกเราเป็นวัยรุ่นอายุ 19 ปี ก็เริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยล้ามาก-ก-ก…จนวันหนึ่งจอห์นนี่ทนไม่ไหว ตัดสินใจเดินเข้าไปบอกกับผู้ใหญ่ตรง ๆ ว่า เขาขออนุญาตกลับไปเรียนต่อ ซึ่งสุดท้ายผู้ใหญ่ท่านก็ยอมรับการตัดสินใจของจอห์นนี่ วงแร็พเตอร์ก็เลยต้องยุบไปโดยปริยาย ส่วนผมก็เหนื่อยมากนะ แต่เพราะเป็นลูกแม่ ก็เลยคิดว่าตัวเองยังทนไหว ผู้ใหญ่ก็เลยให้ผมออกอัลบั้มเดี่ยว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ สุดท้ายผมก็ออกมาเรียนปริญญาตรีต่อ หลังจากที่พักการเรียนไปถึงสี่ปี โดยใช้เงินที่เก็บสะสมไว้ซึ่งก้อนใหญ่พอสมควร มาจ่ายค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ชีวิตช่วงนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรเลย เป็นเด็กเนิร์ดตั้งใจเรียนอย่างเดียว แต่พอเรียนจบปุ๊บผมถึงมาคิดว่าเราจะประกอบอาชีพอะไรดีเพราะถ้าให้ทำงานนั่งโต๊ะ ผมคงไปไม่รอดแน่ ๆ คงนั่งขาสั่น เพราะผมอยู่นิ่งไม่ได้(หัวเราะ) โชคดีที่อาตู่ (นพพล โกมารชุน)ให้โอกาสเล่นละครเรื่อง เหนือทรายใต้ฟ้าเป็นเรื่องแรก สักพักก็เริ่มมีเรื่องอื่นส่งบทมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้ผมมีงานถ่ายละครทุกวัน ผมก็เข้าใจว่า อ๋อ…สงสัยเราคงมาทางนี้แล้วละ (หัวเราะ) ทีมงานละครหลายเรื่องแอบกระซิบว่า รู้สึกชื่นชมและเอ็นดูคุณหลุยส์มาก คิดว่าน่าจะเป็นเพราะอะไรคะ ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนมาก ๆ ครับ อาจเป็นเพราะผมพูดคุย คอยเอาใจใส่คนอื่นในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ละมังครับ บางวันผมอยู่กับทีมงานถ่ายละครตั้งแต่กลางคืนถึงเช้าของอีกวัน ผมเห็นพวกเขาทำงานกันตลอดเวลา ทั้งยกไฟ ขนของ ดูแลทุกอย่าง ไม่เหมือนผมที่เป็นดารา เข้าฉากแค่บางซีน แล้วก็ได้พักในห้องแอร์ แต่ทีมงานเขายืนถ่ายข้างนอกกันมาตั้งแต่เทปแรกแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องเหนื่อยกว่าผมหลายเท่า ผมมักจะคิดเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ ถ้าเห็นใครทำหน้าเหนื่อย ๆเพลียมาก ๆ ผมจะทำหน้าแบบนี้ (ทำหน้ายิ้มทะเล้น) แล้วบอกให้เขาสู้ ๆ อีกนิดเดียวหรือไม่ก็หาเรื่องตลก ๆ มาเล่าให้ได้เฮฮากันเล่นมุกแป้กบ้าง ทำตัวติงต๊องบ้าง (หัวเราะ)แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ทีมงานได้หัวเราะความเหนื่อยก็หายไปได้แป๊บหนึ่ง แล้วค่อยกลับมาลุยงานกันต่อ ผมว่าถ้าเราเปลี่ยนทุกอย่างให้สนุก ให้เป็นแง่ดี งานก็จะออกมาดี คนที่เราทำงานด้วยเขาก็ยิ้มแย้มมีความสุข เราก็จะสนุกและมีความสุขไปด้วย เป็นลูกครึ่งที่พ่อแม่อาจจะนับถือศาสนาต่างกัน ตัวคุณหลุยส์เองนับถือศาสนาอะไรคะ คุณพ่อผมเป็นคริสเตียน คุณแม่นับถือพุทธ ส่วนผมก็นับถือศาสนาพุทธครับ จริง ๆ ผมจะเลือกนับถือศาสนาอะไรก็ได้นะครับ คุณแม่ไม่ได้บังคับ ผมเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้เราทำในสิ่งที่ดี แต่เหตุผลที่ทำให้ผมชอบพุทธศาสนา เพราะผมเป็นคนไทย และอีกเหตุผลคือ ผมว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีคอมมอนเซ้นส์หรือความเป็นปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตเลยนะ เช่น ถ้าผมรู้สึกหมั่นไส้แล้วเดินไปตีหัวผู้ชายคนหนึ่งเขาก็จะหันมาต่อยผมคืนทันที มันคือคอมมอนเซ้นส์ที่เราไปทำร้ายเขาก่อน เขาก็ย่อมจะหันมาทำเรากลับ ไม่ใช่เป็นเพราะมีใครดลใจ แม้แต่การนั่งสมาธิก็เหมือนกันสำหรับผม คือการเตรียมความพร้อมของจิตใจตัวเอง ไม่มอง ไม่สนใจคนอื่น คอยรู้ทันใจตัวเอง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงอะไรทั้งหมด คอมมอนเซ้นส์คือ ใจเราก็จะเย็น พอไปคุยกับใคร เขาก็จะใจเย็นตามไปด้วย แล้วสิ่งดี ๆ ก็จะเกิดตามมาเองพุทธศาสนาสอนผมให้เข้าใจในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีครับทำงานหนักทุกวันอย่างนี้ มีโอกาสไปทำบุญบ้างไหมคะ ทำตามวาระโอกาสครับ อาจเพราะผมรู้สึกว่าพุทธศาสนาเป็นคอมมอนเซ้นส์ครับ ดังนั้น ถ้าผมรู้สึกอยากจะทำบุญ เมื่อไร หรือพอมีเวลาช่วงไหน ก็ค่อยไปทำบุญก็ได้ ผลของบุญจึงออกมาดี เพราะเราไม่รู้สึกถูกบังคับ ไม่อึดอัดใจ อย่างช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาได้เข้าวัดทำบุญสักเท่าไร ก็หาโอกาสทำบุญในกองถ่ายนี่แหละครับ ทั้งการทำให้คนอื่นยิ้มได้ ทำให้เขามีความสุข ผมก็จะสุขไปด้วย แค่นี้ผมก็ได้บุญแล้ว แต่ถ้าเป็นการทำบุญที่วัด ส่วนใหญ่ผมจะชอบไปวัดที่เชียงใหม่ มีเวลาปุ๊บก็เข้าวัดปั๊บ บางทีไปนั่งฟังพระเทศน์ สนทนาธรรมกับท่าน บางทีก็ถวายสังฆทานบ้าง หรือไม่ก็แค่ไปนั่งดูโบสถ์ ดูนกใต้ต้นไม้ นั่งนิ่ง ๆทอดสายตาไปเรื่อยเปื่อย จะรู้เลยว่าใจเราสบาย สงบ ไม่ตึง ไม่เครียด เป็นความรู้สึกที่ดีมาก วัดเป็นสถานที่ที่ผมอยู่แล้วสบายใจ ทั้ง ๆ ที่เราตั้งใจจะเป็นผู้ให้ แต่กลับได้ความสุขใจกลับมามากกว่าเสียอีก เรื่องลับเล็ก ๆ ที่คุณอาจไม่รู้กับทรงผมยาวตลอดกาลของหลุยส์ สก๊อต “สาเหตุที่ไว้ผมทรงนี้มาตลอดเพราะความเคยชินและกลัวไม่รอดครับ จำได้ดีเลยว่า เคยลองตัดผมสั้นครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอ้วนกว่านี้ พอตัดแล้วหูกาง หน้าเด๋อ รู้สึกไม่รอด ไม่มั่นใจในตัวเอง ก็เลยกลับมาไว้ผมยาวเหมือนเดิมแต่คิดว่าถ้าแก่กว่านี้…สัก 50คงไม่สนใจแล้วจะไว้ทรงไหนก็ได้ที่สระง่ายที่สุด” (หัวเราะ) เรื่อง ชลธิชา แสงใสแก้ว ภาพปก วรวุฒิ วิชาธร ภาพ วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ ปาลรินทร์ กฤษบุญชู สไตลิสต์ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด แต่งหน้าและทำผม ภูดล คงจันทร์ บทความน่าสนใจ อ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ! มาดู 5 วิธีวางตัวเพื่อเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ใครเห็นก็รัก! ปรับความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน เรื่องราว “การปรับความคิด” ของดาราหนุ่มทั้ง 3 คน 10 อันดับ ข้อคิด เรียนรู้ชีวิตจากดารา ศิลปิน คนดัง – […]
ชีวิตที่ต้อง “พอดี” เจี๊ยบ พิจิตตรา สิริเวชชะพันธ์
ชีวิตที่ต้อง “พอดี” เจี๊ยบ พิจิตตรา สิริเวชชะพันธ์ ว่ากันว่า “สถานการณ์มักสร้างวีรบุรุษ” ชีวิตของเจี๊ยบก็ดูจะเข้าข่ายนี้เหมือนกัน เพราะเดิมที เจี๊ยบ พิจิตตรา สิริเวชชะพันธ์ ก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป มีหน้าที่เรียนก็เรียน พอมีโอกาสได้ทำงานในวงการบันเทิงก็ลองดู ไม่เคยมีความคิดว่าจะเป็น “ต้นแบบ” ให้ใครมาก่อน แต่อะไร ๆ เกิดขึ้นได้ เมื่ออยู่ ๆ คุณพ่อที่สุขภาพแข็งแรงมาตลอดเกิดป่วยหนักจนหายใจไม่ออก หลังจากมาถึงโรงพยาบาลคุณพ่อก็หลับสนิทและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย พอรู้ข่าวทุกคนในบ้านเจี๊ยบรวมทั้งญาติ ๆ ต่างเสียอกเสียใจกันใหญ่ จะมีก็แต่แม่ ผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างพ่อมาตลอดชีวิตเท่านั้นที่วิ่งวุ่นจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เรียบร้อยโดยไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวซึ่งไม่ได้แปลว่าท่านไม่เสียใจ เพียงแต่คุณแม่ “เข้มแข็ง” กว่าที่ใคร ๆ คิดต่างหากเพราะหากท่านมัวแต่ร้องไห้เสียใจ ลูก ๆทั้งสามคนจะเป็นอย่างไร ไม่พลอยขวัญเสียชีวิตเป๋ไปด้วยหรอกหรือ ตอนนั้นเจี๊ยบเพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยราวปี 1 หรือปี 2 ยังไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจใด ๆ เลย ครั้นจะมาช่วยงานคุณแม่ก็กลัวว่าจะทำให้วุ่นวายเปล่า ๆ สิ่งเดียวที่เจี๊ยบทำได้ดีที่สุดก็คือ “เป็นตัวอย่างที่ดี” ให้น้องชายและน้องสาว คำว่าตัวอย่างที่ดีของเจี๊ยบคือ ตั้งใจเรียน มีระเบียบวินัย ไม่กินเหล้า สูบบุหรี่และรู้จักคุณค่าของเงิน เรียกว่าทำยังไงก็ได้ให้น้อง ๆ เห็นว่า “ต้องเป็นแบบนี้นะ” คุณแม่จะได้หมดห่วง แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่าย เพราะน้องของเจี๊ยบทั้งสองคนแสบไม่เบาเลยค่ะ วีรกรรมน้องทั้งสองมีตั้งแต่ขั้นเบา ๆ อย่างไม่ช่วยทำงานบ้าน กลับบ้านดึกมากขั้นหนักก็คือ โดดเรียนไปอยู่ร้านเกมทั้งวันจนต้องไปตาม หนีไปเที่ยวต่างจังหวัด จนถึงขั้นหนักที่สุดอย่างเล่นพนันบอล ทำให้เจี๊ยบและคุณยายต้องใช้หนี้ให้เป็นแสน ๆ มาแล้ว ช่วงนั้นยอมรับว่า “เหนื่อยมาก” ที่ต้องคอยตามล้างตามเช็ดเรื่องเหล่านี้ เพราะเจี๊ยบเริ่มมีเวลาน้อยลง ไหนจะเรียนด้วย ทำงานด้วย ก่อนหน้านี้เจี๊ยบทำงานแค่เอาสนุกแต่พอเกิดเรื่องคุณพ่อขึ้นมา รายได้เข้าบ้านที่เคยมีก็ลดลงไปพอสมควร เจี๊ยบจึงต้องหันมาตั้งใจทำงานอย่างจริงจังมากขึ้นเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระคุณแม่ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน “งานความเป็นพี่” ของเจี๊ยบก็ต้องทำต่อไปไม่มีวันหยุดถึงวันนี้เขาสองคนยังไม่ได้เป็นแบบที่เจี๊ยบต้องการ แต่ก็ขอให้ไม่เกเรไปกว่านี้ และรู้ว่าการทำความดี เป็นเด็กดีเป็นอย่างไรก็พอแล้ว จนราวปี 2551 เจี๊ยบก็เริ่มเห็นว่าความพยายามของเจี๊ยบไม่ได้สูญเปล่าจากเดิมที่คิดว่าน้องไม่สนใจ ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะน้องทั้งสองเริ่มหันมาสนใจทำงานทำการ มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้เจี๊ยบถือว่า “เป็นความโชคดีอย่างที่สุด” เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่มีผิดคือ ทำอะไรต้องอยู่บนทางสายกลาง เพราะตั้งแต่เด็กมาแล้ว เวลาทำอะไรก็ตาม เจี๊ยบจะเป็นคนที่ “เป๊ะมาก” ซึ่งทำให้เครียดโดยไม่รู้ตัว ลำพังแค่เครียดแล้วปวดหัวน่ะไม่เท่าไหร่ เป็นโรคกระเพาะ ผมร่วง ก็ยังไม่ถือว่ารุนแรงมาก ที่พูดมาเนี่ยเจี๊ยบเป็นมาหมดแล้วค่ะ แต่สำหรับเคสที่ใหญ่ที่สุดของเจี๊ยบก็คือ การผ่าตัดช็อกโกแลตซีสต์บริเวณปีกมดลูกด้านขวาเมื่อปี 2554 และปี 2556 ก็ต้องผ่าช็อกโกแลตซีสต์ขนาดเท่าไข่เป็ดที่ปีกมดลูกด้านซ้าย อาการครั้งล่าสุดเริ่มจากปวดท้องอย่างรุนแรงตลอดเวลาค่ะ เหมือนคนกินข้าวแล้วไม่ย่อย ท้องอืด ๆ เจี๊ยบเป็นอย่างนี้อยู่นาน 3 - 4 วัน รีบไปหาคุณหมอ แต่พอตรวจเจอปั๊บ เจี๊ยบก็ถามคุณหมอตรง ๆ ว่า หลังผ่าตัดครั้งแรกไปแล้ว เจี๊ยบก็กินยาฉีดยาตามที่คุณหมอบอกทุกอย่าง แต่ทำไมยังเป็นอีก คำตอบของคุณหมอทำเอาเจี๊ยบอึ้งเพราะคาดไม่ถึง นั่นก็คือ เกิดจากความเครียด พักผ่อนน้อยของเจี๊ยบเอง ทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนไปหมด ยาที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ พอลองคิดตามก็เห็นว่าจริง เพราะช่วงนั้นเจี๊ยบถ่ายละครทุกวันไม่มีวันหยุดนอนน้อย แต่ก็มีข้อขัดแย้งอยู่คือ เจี๊ยบออกกำลังกายทุกวัน ร่างกายก็น่าจะแข็งแรงคุณหมออธิบายว่า การออกกำลังในช่วงนั้นแทบไม่มีประโยชน์เลย เพราะร่างกายอ่อนแอจึงไม่มีฤทธิ์ด้านเสริมสร้างป้องกันนัก ทางที่ดีต้องหันมาดูแลสุขภาพแบบองค์รวมดีกว่า วันนั้นพอกลับไปถึงบ้าน เจี๊ยบก็เริ่มเศร้า นอยด์ ร้องไห้ อดกลัวไม่ได้ว่าเนื้องอกที่ว่าจะเป็นเนื้อร้าย ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดแต่ก็พยายามให้กำลังใจตัวเองว่า “เราต้องไม่เป็นอะไร” สุดท้ายพอคุณหมอนำชิ้นเนื้อไปตรวจแล้วผลออกมาว่าไม่ใช่เนื้อร้าย เป็นแค่ช็อกโกแลตซีสต์ก็เบาใจ การป่วยครั้งนี้ทำให้รู้ว่า “ห้ามใช้ความรู้สึกตัวเองมาตัดสินเรื่องสุขภาพเด็ดขาด” ที่ผ่านมาเจี๊ยบมักคิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่ได้เป็นอะไรเลย มัวแต่ดูแลคนรอบข้างให้กินวิตามินตัวนั้นตัวนี้ แต่ตัวเองกินแค่วิตามินซีอย่างเดียว แต่พอครั้งนี้คุณหมอถือโอกาสเจาะเลือดไปตรวจอย่างละเอียดก็พบว่า เจี๊ยบขาดวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายตัว ไม่ได้แข็งแรงอย่างที่คิดเลย ทุกวันนี้เจี๊ยบจึงต้อง “พยายาม” ปรับวิถีชีวิตใหม่ รับงานแต่ “พอดี” ดูแลสุขภาพให้มากขึ้น ส่วนเรื่องใจก็ต้องปล่อยวางให้ได้บ้าง ไม่ต้องเป๊ะหรือตึงเกินไปกับทุก ๆเรื่อง ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าเจี๊ยบอาจไม่โชคดีอย่างครั้งนี้ก็เป็นได้ Secret BOX ความพอดีเป็นสิ่งสำคัญ แม้แต่การคิดถึงคนอื่นก็ต้องพอดี อย่าให้มากจนลืมคิดถึงตัวเอง เจี๊ยบ พิจิตตรา สิริเวชชะพันธ์ เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี บทความน่าสนใจ Dhamma Daily : สามีคบชู้ ควรปรับใจอย่างไร ไม่ให้โกรธทั้งสามีและผู้หญิงคนใหม่ ปรับความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน เรื่องราว “การปรับความคิด” ของดาราหนุ่มทั้ง […]
ลุงไกร เกษตรศิลปินแห่งวังน้ำเขียวกับจิตวิญญาณเกษตรเสรี
ลุงไกร เกษตรศิลปินแห่งวังน้ำเขียวกับจิตวิญญาณเกษตรเสรี นานมาแล้วที่คำว่า “เกษตรกร” หมายถึง ชาวไร่ชาวนาผู้ก้มหน้าก้มตาปลูกผักดายหญ้า ยิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นจากแปลงเกษตรแล้วพบว่าผลผลิตของตนราคาถูกเหมือนให้เปล่า… เกษตรกรจึงถูกมองว่าเป็นอาชีพแห่งความทุกข์ยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ “เกษตรศิลปินแห่งวังน้ำเขียว” กลับไม่เชื่อเช่นนั้น… ภาพชายชาวไร่นั่งไขว่ห้างเล่นดนตรีดีดกีตาร์ให้ผักฟัง (แน่นอนว่า คนกินผักและคนซื้อผักก็ได้ฟังเพลงเพราะๆ ไปด้วย) กำลังประกาศเป็นนัยให้เกษตรกรทั้งหลายรู้ว่า เกษตรกรรมเป็นการงานแห่งความสุข เสรี และมีเกียรติ… เนื้อร้องของบทเพลงด้านล่างคงจะอธิบายตัวตนเกษตรศิลปินคนนี้ได้เป็นอย่างดี “ลุงไกร”…ชายผู้ใจดี รักเสียงดนตรี ชอบพืชผักพันธุ์ไม้ แกปลูกผักเอาไว้กิน เอาไว้ขาย อิ่มกายสบายใจ อยู่ในไร่ของตน ชีวิตเชิงปรัชญา เรียนรู้ศึกษาธรรมชาติ จนเห็นผล เกษตรผู้มีจิตใจอ่อนโยน หาความสุขส่วนตน ร้องเพลงให้ผักฟัง เป็นความสุขแท้จริงทางใจ ของชีวิตลุงไกร ผู้พออยู่พอกิน […]
True Story: “ละครชีวิต” ของผู้หญิงชื่อ อารี
True Story: “ละครชีวิต” ของผู้หญิงชื่อ อารี แม้เข็มนาฬิกาจะบอกเวลาสามนาฬิกาแล้ว แต่ฉัน อารี ก็ยังคงนั่งอยู่กับเอกสารและจดหมายกองโต หยิบอันนั้นขึ้นมาอ่าน หยิบอันนี้ขึ้นมาดู กลุ้มใจจนต้องบ่นออกมาดังๆ… “ฉันจะทำอย่างไรดีกับหนี้สินตั้งสิบกว่าล้าน จะหาเงินที่ไหนมาใช้เขา โอ๊ย! เครียด…เครียด!” ฉันนั่งนิ่ง ๆ อย่างนั้นอีกราวสิบนาทีก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเร็ว พอคว้ากุญแจรถมาได้ ก็รีบขับรถทะยานออกจากบ้านทันทีฉันเหยียบคันเร่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ หมายจะจบปัญหาทั้งหมดลงที่ท้ายรถพ่วงคันข้างหน้าซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 20 เมตร! ทันใดนั้นเอง ฉันมองเห็นคล้าย “ผ้าจีวร” ผืนใหญ่โบกสะบัดอยู่เต็มกระจกหน้ารถ สติที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดสั่งให้ฉันหักรถหลบอย่างรวดเร็ว รถเลยเสียหลักแฉลบลงข้างทางทันที! พอได้สติ ฉันก็นั่งตัวสั่นเทาอยู่ในรถมือทั้งสองยังคงกำพวงมาลัยแน่น ภาพผ้าผืนนั้นยังคงติดตาไม่หาย มันคืออะไรกันแน่…แต่เอาเถอะ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรตอนนี้ฉันก็ไม่คิดฆ่าตัวตายอีกแล้ว ฉันค่อย ๆ ขับรถต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงจังหวัดระยอง ทันทีที่จอดรถ ภาพแรกที่ฉันเห็นคือพระสงฆ์กำลังเดินบิณฑบาต แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่ตกกระทบลงบนสีเหลืองอมส้มของจีวรนั้นงดงามยิ่งนัก มันทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “ผ้าที่เห็นต้องเป็นจีวรแน่ ๆ พระพุทธเจ้าคงต้องการเตือนสติไม่ให้ฉันคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีโง่ ๆ คนเราย่อมทำผิดพลาดกันได้ แต่เมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ต้องหาทางแก้ไขมือเท้ายังมีก็หาเงินใช้เขาไป ไม่ควรทิ้งปัญหาไว้ให้คนที่เรารักและรักเรา” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นอกจากจะทำให้ฉันได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว ยังตอกย้ำความมั่นใจให้ฉันว่า ทางเดินชีวิตที่ฉันเลือกเองตั้งแต่ห้าสิบปีก่อนคือหนทางที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อห้าสิบปีก่อน…ฉันถือกำเนิดจากแม่ที่เป็นมุสลิมซึ่งมีฐานะทางบ้านร่ำรวยมาก ส่วนพ่อ…นอกจากจะเป็นชาวพุทธแล้ว ยังมีฐานะยากจนอีกด้วยแต่ด้วยความรักที่มีต่อแม่อย่างสุดหัวใจ พ่อจึงยอมเปลี่ยนศาสนาเพื่อมาสร้างครอบครัวกับแม่ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวแม่ยอมรับ ทว่าไม่ว่าพ่อจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่เคย “ดีพอ” ในสายตาของคนในครอบครัวของแม่ พ่อถูกดูถูก กดขี่ข่มเหงสารพัดโดยที่ไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น ฉันเห็นภาพเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ จนอดตั้งคำถามกับแม่ไม่ได้ว่า “ทำไมทุกคนต้องทำกับพ่ออย่างนี้” แม่ก็ได้แต่ตอบว่า“เรื่องของผู้ใหญ่ เราเป็นเด็ก อย่ายุ่ง” ความอยากรู้ของฉันยังลุกลามไปในเรื่องศาสนาด้วย ฉันเริ่มตั้งคำถามกับแม่ว่า “หนูต้องเรียนคัมภีร์อัลกุรอานไปเพื่ออะไร” แม่ตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า “ฉันบอกให้ทำอะไรแกก็ต้องทำ อย่าถามอีกเข้าใจไหม เกิดเป็นมุสลิม ใคร ๆ ก็ต้องเรียนอย่างนี้กันทั้งนั้น” การปฏิเสธที่จะตอบคำถาม การใส่อารมณ์แทนที่จะอธิบายด้วยเหตุผลของแม่ทำให้ฉันรู้สึกว่า มันช่างแตกต่างกับครอบครัวของตูน เพื่อนสนิทของฉันจริง ๆ ครอบครัวของตูนเป็นชาวพุทธ และเมื่อเด็กเจ้าปัญหาอย่างฉันถามว่า “เราไปวัดกันทำไม เราสวดมนต์ไปทำไม” ครอบครัวของตูนก็สามารถอธิบายให้เข้าใจและตอบคำถามฉันได้หมด ยิ่งเมื่อได้นั่งฟังพระเทศน์สวดมนต์ ตักบาตร ถวายสังฆทาน ฯลฯ ด้วยตัวเอง ฉันก็ยิ่งรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด และกลับรู้สึกชอบมากกว่าการไปมัสยิดเสียอีก ฉันใช้ชีวิตก้ำกึ่งสองศาสนา เย็นไปมัสยิด เสาร์ - อาทิตย์ (แอบ) ไปวัดอยู่นานจนกระทั่งขึ้นชั้น ม. 1 ก็เริ่มมั่นใจว่า “ชีวิตนี้ฉันจะเป็นชาวพุทธ” ฉันตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับพ่อก่อน จำได้แม่นว่าพ่อบอกฉันสั้น ๆ ว่า “ลูกจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ เพียงแต่ต้องทำหน้าที่ศาสนิกชนในศาสนานั้นให้ดีที่สุด ตัวพ่อเองแม้จะเกิดเป็นพุทธแต่เมื่อวันนี้พ่อเลือกที่จะเป็นมุสลิม พ่อก็จะเป็นมุสลิมที่ดีที่สุด” ส่วนแม่ พอรู้เรื่องนี้เข้าก็ด่าว่าฉันอย่างรุนแรง พร้อม ๆ กับรีบเล่าเรื่องนี้ให้ญาติ ๆ ฟังด้วยความโกรธแค้น ผลก็คือ ทุกคนพากันรุมด่าทอสาปแช่งฉันว่า หากไม่ล้มเลิกความคิดนี้เสีย ก็ขอให้ชีวิตของฉันพบเจอแต่ความหายนะ แม้จะมั่นอกมั่นใจในตัวเองแค่ไหนพอเจอคำสาปแช่งอย่างนี้ ฉันก็อดหวั่น ๆ ไม่ได้เหมือนกัน ฉันจึงตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้หลวงลุงที่ฉันเคารพฟัง หลวงลุงไม่ว่าอะไรนอกจากตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า “อย่าไปกลัวคำสาปแช่ง แต่ขอให้กลัวความเป็นคนชั่วของเรามากกว่า” คำพูดสั้น ๆ เพียงแค่นี้ แต่ก็ทำให้ฉันมั่นใจพอที่จะก้าวเดินในเส้นทางนี้ต่อไป โดยไม่ลืมที่จะดึงน้องสาวอีกสองคนไปเป็นชาวพุทธกับฉันด้วย… แม้สงครามระหว่างฉันกับแม่จะเริ่มซาลง แต่ฉันก็ไม่อาจทนเห็นพ่อถูกกดขี่ข่มเหงจากครอบครัวใหญ่ได้อีกแล้ว ราว 2 ปีต่อมาฉันและน้อง ๆ จึงช่วยกันขอร้องให้พ่อและแม่ “ย้าย” ออกมาหาบ้านหลังใหม่ แม่ตกลงและยอมย้ายตามมาโดยดี ทว่าแม่ไม่ได้มาแต่ตัว แต่ยังหอบหิ้ว “ผีการพนัน” ติดมาด้วย ส่วนพ่อ เมื่อไม่สามารถห้ามปรามอะไรแม่ได้ ก็ได้แต่ก้มหน้าทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในบ้านและใช้หนี้ให้แม่ ด้วยความสงสารพ่อจับใจ ฉันจึงตัดสินใจเรียนพาณิชย์แทนสายสามัญ จะได้เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ รายได้ที่ได้มาหลังจากแบ่งไว้ใช้จ่ายส่วนตัวแล้ว ส่วนที่เหลือฉันก็ยกให้แม่หมด แต่ให้เท่าไรก็ดูเหมือนจะไม่พอ เพราะวันหนึ่งแม่ก็ออกปากไม่ให้ฉันเรียนหนังสือ ให้ทำงานอย่างเดียวเชื่อไหมว่า แม่ถึงขั้นเก็บหนังสือเรียนของฉันไปทิ้งและฉีกชุดนักศึกษาจนขาดหมด ตอนนั้นฉันทุกข์ใจมาก ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนนอกจากไปวัดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดฉันก็ตัดสินใจหาหนังสือสวดมนต์มาไว้ที่บ้าน หวังจะได้สวดเพื่อคลายทุกข์แต่นั่นกลับยิ่งเป็นการจุดไฟโกรธในใจแม่ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะพอแม่มาเห็นเข้า แม่ก็โกรธจัด ถึงขั้นไล่ฉันออกจากบ้านและประกาศตัดแม่ตัดลูกกันตั้งแต่วันนั้น! ฉันเองก็ใจแข็งพอที่จะพาน้อง ๆ อีกสองคนย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเพื่อจบปัญหาไม่กี่ปีต่อมาฉันก็ส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรี และได้ทำงานกับบริษัทไฟแนนซ์ข้ามชาติมีหน้าที่การงานเติบโตอย่างรวดเร็ว จากนั้นชีวิตก็ดำเนินมาถึงอีกขั้น เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิต…เขาชื่อ“พงษ์” เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ฉันกับพงษ์คบหากันได้ไม่นานก็แต่งงานกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า พงษ์เป็นคนดีและเป็นคนที่รักแม่มากซึ่งนั่นก็หมายความว่า เขาต้องรักครอบครัวแน่ ๆ ทว่าพอมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริง ๆ ฉันถึงได้รู้ว่า ความรักแม่ของพงษ์นั้นใกล้กับคำว่า “กลัว” เพียงนิดเดียว เพราะแม่คือผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อชีวิตพงษ์ ไม่ว่าจะคิดหรือทำอะไร ก็ต้องขออนุญาตแม่ก่อนทุกครั้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว…ซึ่งสะใภ้อย่างฉันก็พลอยต้องรับสภาพนี้ไปด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้หญิงที่รักอิสระและมีความมั่นใจในตัวเองมาตลอดชีวิตอย่างฉันเริ่มทุกข์ใจขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นยื่นคำขาดกับพงษ์ว่า “เราจะต้องย้ายออกมาสร้างครอบครัวเองเสียที ไม่อย่างนั้นเราก็คงต้องแยกทางกัน เพราะฉันทนแม่กับน้อง ๆ ของคุณไม่ไหวแล้ว” พงษ์ตอบตกลง เพียงแต่ขอเวลาอธิบายให้แม่เข้าใจก่อน แต่ถึงอย่างนั้นกว่าฉันและพงษ์จะได้ย้ายออกมาอยู่บ้านหลังใหม่ด้วยกันก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ครอบครัวเล็ก ๆ ของเราอยู่กันอย่างมีความสุขได้ไม่นาน แม่ น้องชาย และน้องสาวของพงษ์ก็พากันย้ายตามมาอยู่ด้วยคราวนี้ฉันบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติของใครอีกแล้ว ฉันจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง” แต่ถ้าจะไปให้ถึงจุดนั้นฉันต้องมีเงินก้อนเสียก่อน ฉันจึงตัดสินใจเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีไปลงทุน แรก ๆ ทุกอย่างดูจะไปได้ดี มีเงินเข้าบัญชีทุกเดือนรายรับอู้ฟู่ทีเดียว แต่เพียงชั่วข้ามคืนเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก…ทุกอย่างก็พังพินาศ ว่าที่เศรษฐินีอย่างฉันกลายเป็นลูกหนี้แบกหนี้สินร่วมสิบกว่าล้าน! ฉันเครียดที่สุดในชีวิตไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ไม่แม้แต่จะเล่าให้พงษ์รับรู้ แล้วในที่สุดฉันก็ตัดสินใจจะจบปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายอย่างที่เล่ามาในตอนต้น ทว่าด้วยร่มเงาบุญแห่งพุทธศาสนาทำให้ฉัน “คิดได้” และทยอยแก้ปัญหาด้วยตัวเองไปทีละจุด ๆ ทรัพย์สินใดที่ขายได้ก็ขาย แม้จะต้องลาออกจากงานเพื่อไม่ให้เรื่องกระทบถึงบริษัทก็ต้องทำ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังใช้หนี้ไม่หมดอยู่ดี ฉันจึงตัดสินใจเล่าปัญหาให้พงษ์ฟัง ซึ่งพงษ์ก็ตัดสินใจช่วยใช้หนี้โดยไม่อิดออด หลังใช้หนี้หมด ฉันเริ่มหางานใหม่อีกครั้งด้วยอาชีพขายประกัน และก็เหมือนฟ้าดินเป็นใจ เพราะเพียงแค่ฉันขายประกันให้ลูกค้ารายแรกสำเร็จเท่านั้น ฉันก็ได้ค่าคอมมิชชั่นเป็นเงินมากกว่าล้านบาท! เงินก้อนนี้ช่วยให้ฉันกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง…ชีวิตค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ฉันมีความสุขอยู่ได้ไม่นาน โชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง เมื่อคุณหมอตรวจพบว่าพงษ์เป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 3 ฉันแทบล้มทั้งยืน คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไร นอกจากตั้งใจว่า จะดูแลพงษ์จนวินาทีสุดท้ายอย่างที่เคยให้สัญญากันไว้ ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องของพงษ์ยังทำให้ฉันเริ่มคิดทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา คิดถึงแม่ และสิ่งที่เคยทำกับแม่ “คนเราสุดท้ายก็เท่านี้ เมื่อวันนี้ยังมีโอกาสอยู่ด้วยกันก็ทำดีต่อกันให้มากที่สุดดีกว่า” สามวันต่อมา ฉันตัดสินใจกลับไปหาแม่ที่บ้าน เตรียมน้ำเพื่อล้างเท้าให้แม่ แล้วก้มลงกราบแม่อย่างสวยที่สุด เพื่อขออโหสิกรรมในทุกสิ่งที่เคยล่วงเกินแม่มา แม่เองพอเห็นฉันทำอย่างนั้นก็ตกใจ คิดว่าฉันจะลาตาย เราทั้งคู่กอดกันร้องไห้อย่างหนัก…ครั้งนั้นนับเป็นการกอดครั้งแรกในชีวิตของฉันกับแม่ก็ว่าได้ หลายเดือนหลังจากนั้น พงษ์ก็จากไปอย่างสงบในอ้อมกอดของฉัน พงษ์ไม่เพียงทิ้งทรัพย์สินไว้ให้ครอบครัวเท่านั้น แต่ยังทิ้งบันทึกส่วนตัวที่ฉันคิดว่า “ล้ำค่า” ยิ่งกว่าทรัพย์สินชิ้นไหน ๆ ไว้ด้วย เพราะในบันทึกเล่มนั้นพงษ์ได้บอกเล่าถึงความในใจของเขาอย่างละเอียด จากบันทึกของพงษ์ทำให้ฉันได้รู้ว่าที่ฉันเห็นเขาเงียบ ๆ ไม่มีปากมีเสียง แท้จริงแล้วในใจของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่แสดงออกและการทำอย่างนั้นเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างร้ายกาจ ความเครียดที่สะสมในใจเขาโดยไม่รู้ตัวมีมากขึ้น ๆ จนในที่สุดก็ลุกลามเป็นเซลล์มะเร็ง วันนี้ฉันรู้แล้วว่า ที่ผ่านมาไม่มีใครลิขิตชีวิตฉันนอกจาก “ฉัน” กำหนดเองดังนั้น ถ้าไม่อยากมีชีวิตที่ผิดหวังซ้ำ ๆ เหมือนเดิม ฉันก็ต้องปรับเปลี่ยนชีวิตที่เหลือใหม่ เพราะฉันไม่อยากเรียนรู้อะไรจากการสูญเสียอีกต่อไปแล้ว […]
หัวใจไม่เคยแพ้ของ ทนงศักดิ์ ศุภการ (จบ)
หัวใจไม่เคยแพ้ของ ทนงศักดิ์ ศุภการ (จบ) ลูกก็เหมือนหนังสือที่พ่ออย่างผมต้องเปิดอ่านทีละหน้าๆ เขาคือบทเรียนอย่างดีในชีวิตของเราโดยเฉพาะสอนให้เรารู้จักให้อภัย หลังจากภรรยาเสียชีวิต ผม ทนงศักดิ์ ศุภการ ต้องรับหน้าที่หลักในการดูแลลูกชายสองหญิงหนึ่งของผม หลายคนถามว่าเหนื่อยไหม คำตอบคือเหนื่อยอยู่แล้ว เพราะผมต้องคอยรับ - ส่งดูแลเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่ตอนที่แม่เขาป่วย แต่ในความเป็นพ่อผมก็มีความสุขที่ได้ดูแลพวกเขา ตอนนี้นอกจากผมแล้ว พวกเขาก็มีคุณน้าและพี่เลี้ยงที่เป็นแม่บ้านคอยดูแลรวมถึงคุณตาของพวกเขาที่ทำสวนอยู่ต่างจังหวัด ก็จะมาเยี่ยมหลานพร้อมกับผลไม้ทุกสองอาทิตย์ บางครั้งผลไม้ที่สวนอย่างมะม่วงให้ผลเยอะมาก พวกเราทั้งหมดก็ช่วยกันนำไปขาย เด็ก ๆ ไม่ได้รู้สึกอายที่จะยืนขายผลไม้ด้วยกัน เมื่อปีที่แล้วลูกชายคนโตเพิ่งเรียนจบจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(ABAC) ส่วนลูกชายคนกลาง หลังกลับมาจากนิวซีแลนด์โดยที่ยังเรียนไม่จบ เขาก็ยังไม่ได้เรียนอะไรต่อ ปีนี้กำลังจะเกณฑ์ทหาร ผมอยากให้เขาไปใช้ชีวิตแบบนั้นดูบ้าง เผื่อว่าจะทำให้มีระเบียบวินัย รู้จักรับผิดชอบและดูแลตัวเองได้ดีขึ้น ส่วนลูกสาวคนเล็กหลังจบ ม.6 แล้ว เขาก็อยากเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลูกของผมแต่ละคนนิสัยต่างกันแม้ว่าจะเลี้ยงดูมาแบบเดียวกันก็ตาม ลูกชายคนโตเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูง ถ้าเขาอยากทำอะไร ก็จะพยายามจนถึงที่สุด แต่ถ้าไม่อยากทำ เขาก็จะไม่ทำเลย ลูกชายคนกลางนี่สบาย ๆ มีความสุขกับชีวิตไปเรื่อย ๆ ส่วนลูกสาวคนเล็กจะมีระเบียบวินัย รักการเรียน และรู้จักรับผิดชอบดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ลูกก็เหมือนหนังสือที่พ่ออย่างผมต้องเปิดอ่านทีละหน้า ๆ เขาคือบทเรียนอย่างดีในชีวิตของเรา โดยเฉพาะสอนให้เรารู้จักให้อภัย ในเมื่อเราให้อภัยลูกได้ตั้งหลายครั้ง แล้วทำไมเราจะให้อภัยคนอื่นไม่ได้ แม้เขาจะไม่ใช่ลูกของเรา แต่เขาอยู่ร่วมโลกเดียวกับเรา ต้องพึ่งพาดิน น้ำอากาศเหมือนเรา ดังนั้น สำหรับผม เราต้องรู้จักให้อภัยและรู้จักแบ่งปันกับคนอื่นด้วย มีน้อยก็แบ่งน้อย โดยผมจะพยายามแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับการทำบุญเสมอเช่น ช่วงปิดเทอมผมก็จะชวนลูก ๆ ไปบริจาคหนังสือและเสื้อผ้าที่บ้านโฮมฮักของครูติ๋ว ระหว่างทางก็โทรศัพท์ชวนเพื่อนให้ทำบุญด้วยกัน ก็ได้เงินมาซื้อข้าวสารและอาหารต่าง ๆ หลังจากนั้นก็ช่วยระดมทุนสร้างห้องสมุดให้บ้านโฮมฮักที่จังหวัดยโสธร ครอบครัวของผมอาจไม่ได้สมบูรณ์พร้อม ไม่ได้ร่ำรวย ลูก ๆ ทุกคนยังต้องอาศัยเงินดูแลจากพ่อ แต่ผมก็ยังเชื่อเรื่องการให้เพราะที่ผ่านมาชีวิตของผมได้ดีมีสุขอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะการให้โอกาส ให้ความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ดังนั้นผมจึงอยากส่งต่อสิ่งนี้ให้กับสังคม โดยเฉพาะการให้กับคนที่ไม่มีโอกาสจะตอบแทนเรา หรือคนที่เราไม่รู้จักมาก่อน สำหรับผมแล้วถือเป็นการให้ที่บริสุทธิ์ เพราะไม่มีอะไรเคลือบแฝง ไม่มีการรอคอยผลประโยชน์หรือคำขอบคุณใด ๆ แต่ก่อนที่ผมจะเรียนรู้การให้กับใครได้นั้น คนแรก ๆ ที่ผมให้อย่างมากที่สุดและด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริงก็คือลูกของตัวเอง ไม่ว่าเขาจะทำผิดพลาดกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเขาก็ยังเป็นลูกที่ผมรักมากที่สุดอยู่ดี บทเรียนที่มีค่าจากลูก ผมเลี้ยงลูกเหมือนเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก หลายครั้งที่ผมอ่านข่าวตามสื่อต่าง ๆแล้วเห็นบางครอบครัวต้องสูญเสียลูกไปผมมักจะถามตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับเราบ้าง เราจะทำอย่างไรณ วันนี้เราอาจไปบอกครอบครัวคนอื่นได้ว่า“ไม่เป็นไร เสียแล้วก็เสียไป” ผมจะพยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนอื่นได้ ก็เกิดกับเราได้เหมือนกัน เพราะจริง ๆ แล้ว สุดท้ายชีวิตที่เรามาผูกพันกันนี้ก็แค่ช่วงเวลาหนึ่ง จะช้าหรือเร็วก็ต้องจากกัน ถ้าไม่อยากจากก็อย่าเจอ ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเกิด แต่นี่เกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องใช้กรรมของตัวเองไป ผมเชื่อว่า เราเกิดมาเพื่อปิดกรรมให้ตัวเอง ตอนนี้เราอาจมีหนี้กรรมอยู่ประมาณพันหนึ่ง เราต้องค่อย ๆ ปิดหนี้กรรมของตัวเอง ตอนนี้อาจจะปิดได้สักแปดสิบก็ค่อย ๆ ทำไป ชดใช้ในสิ่งที่กู้มา ซึ่งตอนที่กู้ เราอาจไม่ทันรู้ตัว แต่วันนี้เมื่อรู้ตัวแล้วเราก็ต้องชดใช้ และพยายามไม่สร้างหนี้เพิ่มแต่หนี้อย่างหนึ่งที่ผมผูกพันมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องลูก ลูกชายคนกลางเป็นคนที่ภรรยาของผมห่วงมากที่สุด เพราะเป็นคนที่มีความสุขกับการไปโรงเรียน แต่ไม่เรียนแต่ละปีที่ขึ้นชั้นเรียนใหม่ ผมต้องไปฝากกับผู้อำนวยการโรงเรียนว่า ขอให้ลูกได้เรียนกับอาจารย์ที่ใจเย็น เพราะลูกไม่ชอบอาจารย์ที่อารมณ์เสียใส่เขา ส่วนช่วงปิดเทอม ผมก็ต้องมานั่งช่วยเขาทำรายงานส่งอาจารย์เพราะว่าสอบตกวิชานั้นวิชานี้ ตอนเช้า ๆ เวลาไปส่งลูกไปโรงเรียนผมต้องว้ากกับลูกคนนี้ทุกวัน คนโตกับคนเล็กลงจากรถไปแล้ว แต่คนกลางยังต้องนั่งอยู่ในรถกับผมต่อ ต้องอ่านหนังสือในรถก่อนครึ่งชั่วโมง เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้อยู่ที่โรงเรียนเขาจะไม่อ่านเลย แต่แม้จะพยายามกวดขันเขามากเท่าไร ก็ไม่สามารถห้ามปรามความดื้อรั้นตามวัยของเขาได้นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนแล้ว ยังสูบบุหรี่ เกเร ไม่อยู่ในระเบียบ ฯลฯ มีเรื่องจนถูกตัดคะแนนความประพฤติบ่อย ๆผมถูกเรียกไปห้องปกครองแทบจะทุกเดือนจนในที่สุดลูกก็ต้องลาออก ชีวิตการเป็นพ่อสำหรับผมแล้ว ถือว่าต้องทำทุกอย่างให้ถึงที่สุด ลูกถูกไล่ออกจากโรงเรียน ผมก็ไปนั่งหน้าห้องผู้อำนวยการเพื่อขอพบ ขอโอกาสให้ลูกได้เรียนต่อแม้กระทั่งไปช่วยงานโรงเรียน ผมก็ยอมแต่สุดท้ายลูกเรียนได้อีกปีเดียวก็ต้องลาออกอีกครั้ง เพราะสร้างวีรกรรมไว้เยอะ คราวนี้เป็นช่วงที่แม่เขาเสียพอดี ผมเลยให้ไปอยู่โรงเรียนประจำ ต้องอยู่หอพัก แต่อยู่ไปอยู่มาลูกหนีเที่ยว กลับถึงหอตีสามตีสี่เป็นประจำ เลยต้องลาออกอีกครั้ง ยาเสพติดอย่าคิดว่าแค่นิดเดียว ช่วงที่ลูกมีปัญหา ผมเลยไม่รับละครเพราะอยากดูแลเขาให้เต็มที่ ผมเชื่อว่าถ้าวันนี้เราดูแลเขาให้ดีที่สุด เราก็จะไม่ต้องมานั่งเสียใจกับการกระทำใด ๆ ของตัวเองผมทำให้เขาเห็นว่า พ่อยอมเสียสละเพื่อเขาได้มากแค่ไหน ผมมักจะบอกลูกเสมอว่า “ถ้าลูกทำอย่างนี้ ก็แสดงว่ามีความสุขกับสิ่งที่ทำถ้าไม่มีความสุข ลูกต้องเดินออกจากตรงนี้เพราะถ้ายังนั่งอยู่ ก็แปลว่ามันเย็นพอที่ลูกจะนั่ง แต่ถ้ารู้สึกร้อนเมื่อไร ก็ต้องย้ายไปหาที่เย็น” หลังจากพยายามให้ลูกชายคนกลางเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่เมืองไทยไม่สำเร็จ ผมก็ลองส่งเขาไปเรียนซัมเมอร์กับน้องสาวของเขาที่นิวซีแลนด์ ปรากฏว่าเขาเรียนใช้ได้ ผมเลยให้เรียนต่อที่นั่น เมื่อมีเวลาว่างผมก็ไปเยี่ยมเขา จึงได้เห็นว่าเขาสูบกัญชาเสพสารเสพติด เราเลยคุยเปิดอกกัน เขาบอกผมว่า “แค่นิดเดียว” แต่ แค่นิดเดียว ที่ว่านี้กลับส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตเขา สองสัปดาห์ก่อนเรียนจบ ลูกโทร.มาร้องไห้กับผม บอกว่าเรียนต่อไม่ไหวแล้ว ขอกลับบ้าน เพราะถ้าอยู่ต่อคงหนักกว่านี้ ผมต้องตั้งสติและบอกกับลูกว่า“คิดให้ดี ๆ แล้วค่อยโทร.มาใหม่ เพราะคนที่รับสภาพไม่ใช่พ่อนะ ลูกจะกล้ามาบอกทุกคนไหมว่าล้มเหลว หรือจะกล้าบอกทุกคนไหมว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าลูกรับได้ก็ได้เพราะมันตัวของลูก ไม่ใช่ตัวพ่อ” สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจลาออกด้วยตัวเอง และผมก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของเขา ผมได้เรียนรู้ว่าปัญหาบางอย่างของลูก ถ้าเขาไม่แก้ไขด้วยตัวเอง เราก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงต้องมาปรับที่ใจของตัวเอง ต้องกลับมาคิดว่า อย่างน้อยมันก็ไม่เลวไปกว่านี้ เขาไม่ได้ไปขโมยของใครไม่ได้ขับรถไปพุ่งชนใคร วิธีคิดที่เป็นมุมดี ๆ ทำให้เราสบายใจขึ้น เราต้องยอมรับว่าแต่ละคนมีกรรมมาแตกต่างกัน เมื่อทำกรรมแบบนี้ เขาก็ต้องยอมรับผลของมันซึ่งต่อไปเขาจะเดินไปในทิศทางไหน ผมก็ได้แค่ประคับประคองและให้โอกาสเขาเท่านั้น แต่ทุกวันนี้เขาก็ทำให้ผมสบายใจมากขึ้น เมื่อปีที่แล้วผมทำโครงการ “รัก ท.”ขึ้น โครงการนี้เปรียบเสมือนการรวม “3 ท.”เป็นหนึ่งเดียว ได้แก่ “ท” - เทิดไท้องค์ราชัน 85 พรรษา “ท” - ประเทศไทย และ“ท” – ทหารผู้เสียสละ รวมไปถึงชาวไทยที่ได้รับผลกระทบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยผมจัดกิจกรรมประมูลของรักของหวงของนักแสดง นักร้อง ตลอดจนคณะผู้จัดละคร เพื่อหารายได้ไปซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและซื้อเสื้อเกราะให้กับทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามชายแดน ผมเชื่อว่าการจะบอกว่ารักชาติ รักแผ่นดิน รักพระมหากษัติย์ เราพูดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงมือทำด้วย เช่นเดียวกับที่ผมสอนลูกเสมอว่า “ไม่ต้องบอกรักพ่อแค่ลูกทำความดี พ่อก็รู้แล้วว่าลูกรัก” เพราะเมื่อเราทำความดี คนที่ชื่นใจมากที่สุดก็คือพ่อแม่นั่นเอง Secret Box ความดีของลูกคือความสุขของพ่อแม่ ความเลวของลูกคือความทุกข์ของพ่อแม่ นิรนาม บทความน่าสนใจ แหม่ม อลิสา ขจรไชยกุล ชีวิตพลิกผันจากดารา…สู่แม่ค้าฮาเฮ ตอน 1 3 ดารา ที่มีหัวใจรักสิ่งแวดล้อม […]
หัวใจไม่เคยแพ้ของ ทนงศักดิ์ ศุภการ (2)
หัวใจไม่เคยแพ้ของ ทนงศักดิ์ ศุภการ (2) แม้ว่าผม ทนงศักดิ์ ศุภการ จะโดนไฟดูดจนเฉียดตายแต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าการดูแลสุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ จนกระทั่งเมื่อภรรยา (ปานฤดี ศุภทรัพย์) ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจึงได้เห็นว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพร่างกายอีกแล้ว ความจริงภรรยาของผมเป็นคนที่เอาใจใส่ดูแลสุขภาพมาก ทั้งเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย เพราะสิ่งที่ เขากลัวมากที่สุดคือโรคมะเร็ง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถหนีได้พ้น ลางร้าย จากความผิดปกติของร่างกาย ประสบการณ์ชีวิตในช่วงวัยรุ่นที่เห็นเพื่อนบ้านตัวน้อยวัย 5 - 6 ขวบร้องไห้โหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานจากโรคมะเร็งสมอง ความเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งตับของป้าแท้ ๆ และการจากไปด้วยโรคมะเร็งปอดของคุณแม่ของเธอ ทำให้ภรรยาของผมกลัวฝังใจ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตัวเองดีมาก ตอนนั้นเรามีลูกเล็ก ๆ ด้วยกัน 3 คนสองคนแรกเป็นผู้ชาย และคนสุดท้องเป็นผู้หญิง ชีวิตครอบครัวกำลังมีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ความเจ็บป่วยก็ไม่เคยเลือกว่าเราเป็นใครมาจากไหน ร่ำรวยหรือยากจนก็มีสิทธิ์เผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทั้งนั้น ในวัย 40 ปี ภรรยาของผมต้องเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย ทั้งที่ดูแลตัวเองดีมาตลอดกิจวัตรของเธอเริ่มต้นจากการทำงานบ้านในตอนเช้า ส่งลูกไปโรงเรียนเสร็จแล้วก็กลับมาทำงานบ้านต่อ บ่าย ๆ ก็ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนของลูกเมื่อได้เวลาก็ไปรับลูกกลับจากโรงเรียน แต่แล้วเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าโรคร้ายกำลังมาเยือนก็เกิดขึ้นภรรยาของผมสังเกตว่าตัวเองมีอาการปวดหลัง และน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ควบคุมอาหารและออกกำลังกายทุกวันตอนแรกเธอคิดว่าคงจะเป็นแค่กล้ามเนื้ออักเสบธรรมดา จึงไปหาหมอ หมอก็รักษาไปตามอาการ คือช่วยประคบร้อนให้ อาการก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่หาย นอกจากนั้นเธอยังมีอาการเบื่ออาหารอย่างเห็นได้ชัด ปรกติเวลาไปเที่ยวทะเลด้วยกัน ภรรยาของผมจะชอบทานปูมาก และผมจะเป็นคนแกะให้ทุกครั้ง แต่ครั้งนั้นเธอกลับรู้สึกเบื่ออาหาร ถึงขนาดไม่อยากกินของที่ตัวเองชอบ จนกระทั่งวันหนึ่ง ภาพที่ผมเห็นก็ทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจว่า อาการเจ็บป่วยของภรรยาคงไม่ธรรมดา วันนั้นผมถ่ายละครดึก พอกลับถึงบ้านก็หลับสนิท แต่มาสะดุ้งตัวตื่นเอาตอนเช้าเพราะได้ยินเสียงแปลก ๆภาพที่เห็นคือ ภรรยาของผมกำลังกระถดก้นลงจากเตียง แล้วค่อย ๆ พลิกตัวอย่างช้า ๆด้วยความเจ็บปวดทรมาน เมื่อเห็นอย่างนั้นผมเลยชวนเธอไปหาหมออีกครั้ง ครั้งแรกที่หมอตรวจร่างกายก็ไม่เจอความผิดปรกติอะไร แต่เมื่อตรวจเลือดซ้ำอีกครั้ง ก็พบสัญญาณความผิดปรกติ บางอย่างจากไขสันหลัง เลยต้องตรวจไขสันหลังเพิ่มเติม การตรวจเลือดครั้งแรกพบว่า ภรรยาของผมมีเลือดน้อยมาก หมอจึงให้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้เลือด หลังจากนั้น จึงค่อยเจาะไขสันหลัง ช่วงนั้นผมถ่ายละครยุ่งมาก และไม่คิดว่าภรรยาจะเจ็บป่วยร้ายแรงอะไร วันที่หมอนัดเจาะไขสันหลังผมจึงไม่ได้อยู่ด้วย แต่ภรรยาเล่าให้ฟังทีหลังว่า หมอใช้เข็มขนาดใหญ่เจาะไปที่กระดูกสันหลังเสียงดัง ป๊อก! แล้วดูดเอาน้ำที่อยู่ในกระดูกสันหลังออกมา ซึ่งเธอบอกว่าเจ็บเหลือเกิน เผชิญความจริง เมื่อมะเร็งมาเยือน ด้วยความที่คิดว่าภรรยาไม่เป็นอะไรมาก ช่วงนั้นผมจึงยังไปถ่ายละครตามปรกติ จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่า ๆ ก่อนที่จะเข้าฉากแรกของละครเรื่อง กษัตริยา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ภรรยาของผมโทร.มาบอกว่า ผลการตรวจพบว่ามีความผิดปรกติเกี่ยวกับไขกระดูกต้องรักษาด้วยการทำคีโม แต่หมอบอกว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง ผมฟังแล้วก็รู้ทันทีว่าหมอไม่พูดความจริง และตอนนี้ภรรยาของผมคงใจเสียมากแต่ด้วยความที่เป็นคนเข้มแข็งและไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้ใครรู้ เธอก็เลยพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติและบอกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่นาทีนั้น ผมคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถทนถ่ายละครได้อีกต่อไป เพราะสิ่งสำคัญที่ผมต้องทุ่มเทเวลาและทำให้ดีที่สุดในตอนนี้คือการดูแลภรรยา ผมจึงตัดสินใจเดินไปบอกผู้กำกับว่าภรรยาไม่สบาย เพิ่งตรวจเจอว่าเป็นมะเร็ง ถ้าผมถ่ายละครวันนี้ก็จะติดพันไปเรื่อย ๆ ดังนั้นผมจึงขอถอนตัวกลางกองถ่ายทันที เมื่อภรรยาเจ็บป่วย ผมรู้ดีที่สุดว่าสิ่งที่เขาเป็นห่วง ไม่ใช่แค่สุขภาพร่างกายของตัวเอง แต่คือลูกทั้งสามคนที่ยังเล็ก ตอนนั้นลูกคนโตเพิ่งอายุได้ 12 ขวบเท่านั้น หลังจากพูดคุยตกลงกับทางกองถ่ายเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบบึ่งรถไปที่โรงพยาบาลทันที ใจของผมกระวนกระวายอยากไปถึงที่นั่นเร็ว ๆ ผมอยากลูบศีรษะภรรยาเพื่อให้กำลังใจเธอมากที่สุด ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปเธอพยายามปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปรกติแล้วพูดกับผมว่า “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่เป็นอะไร” แต่ด้วยความที่เราอยู่ด้วยกันมานานผมก็รู้ว่าเธอพยายามเก็บกดความรู้สึกของตัวเองไว้ แต่ในที่สุดเธอก็ร้องไห้โฮออกมา ผมพยายามทำใจให้เข้มแข็งและปลอบเธอว่า “อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปตรวจซ้ำอีกโรงพยาบาลหนึ่งให้แน่ใจดีกว่า”ทั้งที่ในใจลึก ๆ ผมก็รู้ดีว่า ผลที่ออกมาไม่น่าจะผิดพลาด แล้วความจริงก็เป็นอย่างนั้นหมอยืนยันว่าเธอเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวจริง ๆ และบอกกับเราทั้งคู่ว่า “รักษาได้”แต่ผมไม่เชื่อ จึงขอคุยกับหมอตามลำพังหมอยอมพูดความจริงว่าอาการของภรรยาผมหนักมาก ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีไหนก็อาจจะอยู่ได้แค่หนึ่งปีถึงหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นภรรยาของผมก็เข้าสู่กระบวนการรักษา ทั้งทำคีโม ถ่ายเลือดฟอกเลือด จากที่หมอคิดว่าน่าจะอยู่ได้ไม่เกินปีครึ่ง ปรากฏว่าด้วยความเข้มแข็งของเธอ ทำให้ต่อสู้มาได้ถึง 3 ปีก่อนจะจากพวกเราไปอย่างสงบ เธอเขียนเล่าความในใจของตัวเองไว้ในสมุดบันทึกว่า “ลูก ๆ ฉันน่ารักทุกคนฉันมองลูกไม่รู้เบื่อ ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนี้จริง ๆ เพื่อดูเขา เสพความสุขจากพวกเขาแค่มองเขาทีละคน แทน ปัญญ์ เปี่ยม ฉันก็มีความสุข…ฉันได้เข้าถึงสัจธรรมว่าทุกสิ่งไม่จีรัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ฉันได้เห็นค่าของความรัก รักสามี รักลูก(ที่สุด) รักพ่อแม่ น้อง ผู้คน เพื่อน…มันดื่มด่ำ ลึกซึ้ง” ความเจ็บป่วยของภรรยาทำให้ผมตระหนักว่า คนเราต้องไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ผมอยากให้ความเจ็บป่วย ในครอบครัวของผมสะท้อนให้คนอื่นเห็นว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของคนอื่นก็สามารถเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมันอย่างมีสติแต่ก่อนที่จะเตรียมใจ เราก็ต้องเตรียมร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงด้วย ด้วยเหตุนี้ ผมจึงทำโครงการวิ่งเพื่อคนที่เรารัก “Run for the One We Love”ด้วยการวิ่งมาราธอนเส้นทางกรุงเทพฯ -พระตำหนักดอยตุง เพื่อย้ำเตือนให้คนอื่น ๆเห็นว่าการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงทำโครงการ “ให้ด้วยหัวใจ” ซึ่งเป็นโครงการที่รณรงค์ให้มีการบริจาคอวัยวะ เพราะจากการที่ผมได้สัมผัสชีวิตคนป่วย พบว่าหลายคนอาจมีโอกาสรอดชีวิตถ้ามีคนบริจาคอวัยวะให้แก่พวกเขา นอกจากนั้น ผมยังชอบไปเยี่ยมคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง เพราะอยากคุยกับเขาตอนที่ยังมีชีวิต ไม่ใช่แค่ไปงานศพ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังยินดีไปงานศพมากกว่างานเลี้ยงอื่น ๆ เพราะคิดว่างานวันเกิดหรืองานเลี้ยงแต่งงานถึงอย่างไรก็มีคนไปกันเยอะแยะ แต่สำหรับงานศพ ผมถือเป็นช่วงเวลาที่คนเราต้องแสดงความมีน้ำใจ ไปกอด ไปสัมผัส ไปแสดงความเสียใจต่อกัน รสชาติของความสูญเสียพลัดพรากอาจทำให้เราเจ็บปวดทรมานก็จริง แต่สุดท้ายเวลาก็จะเยียวยาให้ทุกอย่างดีขึ้น เมื่อภรรยาจากไปแล้ว ผมก็พยายามทำหน้าที่คุณพ่อลูกสามอย่างดีที่สุด แต่บางสิ่งบางอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง เมื่อลูกชายคนกลางขอออกจากโรงเรียนที่เมืองนอกกลางคัน ทั้งที่กำลัง จะเรียนจบมัธยมปลายในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า… (โปรดติดตามตอนต่อไป) Secret Box อย่าติดอยู่ในสิ่งที่เรารักหรือไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเป็นทุกข์ การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ พุทธศาสนสุภาษิต บทความน่าสนใจ แฮร์ริสัน ฟอร์ด […]
หัวใจไม่เคยแพ้ของ ทนงศักดิ์ ศุภการ (1)
หัวใจไม่เคยแพ้ของ ทนงศักดิ์ ศุภการ (1) ว่ากันว่า “ทองแท้ไม่กลัวไฟ” ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตของคนเราที่พบเจออุปสรรคปัญหาใดๆก็ไม่หวั่นเกรง แต่กลับจะยิ่งทำให้หัวใจแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับชีวิตของ คุณ ทนงศักดิ์ ศุภการ ช่างภาพ นักแสดง ที่ต้องพานพบกับเรื่องราวของความสูญเสีย พลัดพรากและไม่ได้อย่างที่ใจหวัง จนน่าจะนำความทุกข์ใจมาให้อย่างใหญ่หลวง แต่ด้วยเลือดนักสู้ที่มีอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม เขาก็ก้าวผ่านเรื่องราวนั้น ๆ มาได้อย่างมีสติ แม้บางเรื่องเมื่อคิดขึ้นมาครั้งใด จะทำให้หวนคิดถึงความรู้สึกในครั้งนั้นจนทำให้น้ำตาคลอเบ้า แต่ในวันนี้เขาได้วางมันไว้เป็นอดีตที่มีคุณค่าและเป็นบทเรียนที่สมควรถ่ายทอดให้คนอื่นฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ต่อไป ชีวิตเด็กวัดบ่มเพาะเลือดนักสู้ ผมเกิดมาในครอบครัวที่ปากกัดตีนถีบ พ่อแม่ไม่ได้เรียนหนังสือทั้งคู่ พ่อเป็นชาวจังหวัดอุดรธานี ส่วนแม่เป็นชาวจีน กวางตุ้งที่เกิดและโตที่กรุงเทพฯ หลังจากแต่งงานกัน พ่อกับแม่ก็หาเลี้ยงครอบครัวด้วยการเปิดร้านตัดเสื้ออยู่แถววัดหัวลำโพง ผมเองเป็นลูกคนที่สองในบรรดาพี่น้องห้าคน ช่วงชีวิตมัธยมปลายของผมถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ผมออกจากบ้านมาเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดไตรมิตรวิทยาราม เพราะอยากช่วยแบ่งเบาภาระของที่บ้าน ตอนแรกก็ไปอาศัยนอนห้องเพื่อนที่มาจากต่างจังหวัดอยู่ไปอยู่มาเมื่อเขาย้ายออกไป ผมก็ได้นอนห้องนั้นแทนเขา สมัยก่อนเด็กวัดมาจากต่างจังหวัดเพื่อเรียนหนังสือ พ่อแม่ของพวกเขาก็จะฝากฝังให้หลวงตาที่เป็นที่เคารพนับถือช่วยดูแล บางคนก็ไม่ได้ยากจนพ่อแม่มีที่นามากมาย แต่ต้องมาอยู่วัดก็เพราะพ่อแม่อยากให้ลูกได้รับการอบรมบ่มนิสัยที่ดี ในแต่ละวัน ผมต้องตื่นแต่เช้ามารดน้ำต้นไม้ กวาดขี้นก ช่วงไหนมีพระมาบวชใหม่ ก็จะช่วยท่านแต่งตัว ถ้ามีงานเลี้ยงบนโบสถ์ ก็ช่วยจัดเตรียมอาหาร พอเสร็จเรียบร้อย ก็ช่วยล้างจาน ตอนเย็นก็ต้องเข้าโบสถ์สวดมนต์ สังคมของเด็กวัดที่นี่จะมีพระคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนใหญ่เย็นวันศุกร์เด็กวัดจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด พอเย็นวันอาทิตย์ก็จะกลับมารายงานตัวตอนหกโมงเย็น มีการเช็กชื่อ ใครทำอะไรไม่ดีไว้ หลวงพ่อหลวงพี่ก็จะเรียกมาอบรมสั่งสอน ในวันสำคัญทางศาสนา เราจะช่วยกันล้างโบสถ์ ขายดอกไม้ธูปเทียน ผมขยันตั้งใจทำงานทุกอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่งหลวงลุงก็เอ่ยปากให้ผมอยู่ต่อได้ พร้อมกับจะส่งเสียให้เรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นที่มีพ่อแม่นำมาฝากฝัง ชีวิตเด็กวัดสอนให้ผมรู้จักปรับตัวและรักที่จะเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ ไม่ว่าจะอยู่ในหน้าที่ไหน ผมจะคิดเสมอว่าต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เมื่อเป็นเด็กวัดก็ต้องเป็นเด็กวัดที่ขยัน ทำงานเรียบร้อยจนถึงขั้นที่หากเราไม่อยู่ เขาจะต้องคิดถึงเรา การเป็นเด็กวัดให้อะไรผมหลายอย่าง โดยเฉพาะการได้เห็นความหลากหลายของชีวิต เพราะคนที่เข้ามาในวัดมีตั้งแต่คนยากจนที่เข้ามาขอข้าวกิน ทั้งคนร่ำรวยมีเงินเป็นแสนเป็นล้านที่นำเงินมาบริจาคให้วัดผมได้เห็นช่องว่างที่แตกต่างกันนี้ เช่นเดียวกับตอนที่เล่นละคร บางครั้งผมรับบทเป็นคนจน ต้องไปถ่ายทำในชุมชนแออัด เราก็เห็นสภาพความเป็นอยู่ของเขาว่าเป็นอย่างไร ในขณะที่บางเรื่องผมเล่นเป็นเศรษฐี มีบ้านใหญ่โต มันทำให้ผมเห็นว่าชีวิตของเราก็แค่นี้มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะอยู่บ้านหลังไหนแต่มันอยู่ที่เราต้องใช้ชีวิตให้มีคุณค่ามากกว่า เรื่องเฉียดตายที่มาจากความประมาท หลังเรียนจบ ม.ศ.3 ผมตั้งใจจะเป็นทหาร เลยไปสอบเตรียมทหาร แต่สอบไม่ติด พอขึ้น ม.ศ.5 ก็เบนเข็มไปสอบ นายร้อยตำรวจ แต่ติดเป็นตัวสำรองสุดท้ายจึงมาเรียนโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย ช่วงมัธยมปลาย ผมค่อนข้างเกเรแต่ไม่ได้ไปทำเรื่องเสียหายอะไร ผมมีเพื่อนสนิทเรียนถ่ายภาพอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ เขาเลยชวนผมโดดเรียนไปเป็นแบบให้เขาถ่าย ไป ๆ มา ๆ ผมก็ชักอยากถ่ายภาพเป็นบ้าง เขาก็เลยสอนให้ ทั้งการจัดแสง จัดไฟ เข้าห้องมืด คราวนี้เริ่มสนุกเลยสนใจเรียนรู้ด้วยตัวเองจนกลายเป็นอาชีพในที่สุด ก่อนหน้านี้ผมเคยอยากเป็นนักมวยถึงขนาดให้พ่อพาไปฝากตัวกับ คุณนิวัฒน์เหล่าสุวรรณวัฒน์ โปรโมเตอร์ของ เขาทราย แกแล็กซี่ เขามีค่ายมวยอยู่ใกล้บ้าน ตอนยังเด็ก หลังเลิกเรียนผมมักไปซ้อมมวย แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยรุ่งเพราะเพื่อนในค่ายบอกว่า “หน้าอย่างมึงไปเล่นหนังดีกว่า อย่ามาต่อยมวยเลยเดี๋ยวแหกหมด” หลังจากนั้น เมื่อโตขึ้น ผมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับแวดวงหมัดมวยอีกเลย แต่กลับมาเอาดีด้านการเป็นช่างภาพแทน ในยุคนั้นช่างภาพมืออาชีพไม่ได้มีมากมายเหมือนทุกวันนี้ อาชีพช่างภาพทำให้ผมมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ สามารถส่งน้องเรียนหนังสือและซื้อรถสปอร์ตให้ตัวเองได้ ผมเริ่มอาชีพนี้ด้วยการไปช่วยงานถ่ายรูปของ คุณศักดิ์ชัย กาย เพื่อนสมัยมัธยม ที่ปัจจุบันคือช่างภาพมืออาชีพและเจ้าของนิตยสาร Lips หลังจากนั้นก็ไปเป็นช่างภาพให้กับบริษัทสถาปนิกชื่อ ไรเฟนเบิร์กที่เป็นการร่วมทุนกันระหว่างคนไทยและต่างชาติ โดยทำหน้าที่ถ่ายภาพโรงแรมและอาคารต่าง ๆ นอกจากนี้ทางบริษัทเองก็เปิดรับงานจากเอเจนซี่ต่าง ๆ ด้วย แม้แต่ตอนที่เล่นละคร ผมก็ยังไม่ทิ้งอาชีพช่างภาพและจากการทำงานนี่เองที่ทำให้ผมประสบอุบัติเหตุ จนแทบจะทำให้กลายเป็นคนพิการ หรือถ้าร้ายแรงกว่านั้นก็อาจเสียชีวิตไปแล้ว เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 1มกราคม 2537 ตอนนั้นผมแต่งงานมีลูกชายสองคนแล้ว วันนั้นผมต้องไปถ่ายรูปที่ Bank of Tokyo เป็นตึกสูงตรงถนนสาทรซึ่งบริษัทญี่ปุ่นเป็นคนก่อสร้าง ความจริงผมถ่ายภาพที่นี่ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ภาพที่ได้ยังไม่สวยเพราะถ่ายจากข้างล่าง มองขึ้นไปเห็นสายไฟระเกะระกะ ผมจึงต้องถ่ายใหม่อีกครั้ง โดยขอให้ทางบริษัทช่วยจัดหารถเครนให้ จะได้ถ่ายจากมุมสูง วันนั้นผมขนอุปกรณ์การถ่ายภาพไปครบชุด เมื่อคนขับรถเครนส่งผมขึ้นไปอยู่ในจุดที่ผมต้องการแล้ว เขาก็งีบหลับทันที ผมไม่ได้สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองไปเรื่อย ๆ สมัยก่อนการถ่ายภาพยังใช้ฟิล์มอยู่ และมีกล้องตัวหนึ่งต้องใช้ผ้าคลุมเพื่อจะดูเฟรม ด้วยความประมาท ผมไม่ทันคิดว่าจุดที่ยืนอยู่ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูง ดังนั้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ผมตวัดผ้าออกไป ผมก็โดนไฟดูดเข้าอย่างจังจนตัวชักกระตุก! ตอนแรกผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ยังปลอบใจว่าสงสัยคงเอี้ยวตัวแรงไปหรือเปล่าตัวเลยกระตุก แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ผมก็เริ่มแน่ใจว่าตัวเองกำลังโดนไฟดูด เพราะรู้สึกเจ็บก้น เจ็บขา แสบร้อนไปทั่วทั้งแขนในใจร้องว่า “แม่ช่วยด้วย…แม่ช่วยด้วย”สักพักผมก็หลุดจากการถูกไฟดูดและล้มฟุบอยู่ตรงนั้น โชคดีที่ยังมีสติอยู่ ผมก็สำรวจตัวเองว่าเป็นอะไรมากน้อยแค่ไหน ก็พบว่ามือซ้ายร้อนมากและยกไม่ขึ้น แถมยังไหม้เป็นริ้ว ๆ เหมือนเนื้อย่าง ผมพยายามถอดกำไลเงินออกจากข้อมือ เพราะคาดว่าอีกสักพักมือคงจะพองบวมจนถอดไม่ออกแน่ ๆ หลังลงจากรถเครนได้แล้ว ผมก็เก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพทั้งหมดไว้ท้ายรถ แล้วเรียกแท็กซี่ให้พาไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด…ทันทีที่พยาบาลใช้กรรไกรตัดเสื้อและกางเกงออกแล้วเห็นบาดแผล ก็อุทานออกมาว่า“โอ้โฮ!” คำอุทานนี้ทำให้ผมรู้ว่าอาการของผมคงหนักหนาสาหัสมากทีเดียว แล้วก็จริงอย่างนั้น คุณหมอคนแรกที่เห็นอาการบอกว่ากรณีของผมอาจจะต้องตัดแขน เพราะว่ามันน่าจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่โชคดีที่คุณหมอเจ้าของไข้บอกว่าให้เก็บมือไว้ก่อน แม้ว่าเนื้อที่แขนซ้ายจะไหม้จนต้องตัดออกไปมากแต่ก็ยังมีความหวัง ด้วยความที่เนื้อบริเวณมือโดนไฟไหม้คุณหมอจึงต้องรักษาด้วยการตัดทิ้งและนำเนื้อบริเวณท้องมาปิดที่มือแทน ในการผ่าตัดครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้ความตายเหลือเกิน เพราะการผ่าตัดใช้เวลานานมากผมสลบไปหลายชั่วโมง ครั้งแรกที่รู้สึกตัว มันลืมตาไม่ขึ้น จนทำให้ใจเสียพานคิดไปว่า “ทำไมไม่เห็นใครเลย ได้ยินแต่เสียง…เราตายไปแล้วหรือเปล่านี่” ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างความตายกับการที่ต้องเผชิญกับการรักษาที่แสนเจ็บปวดทรมาน อะไรจะดีกว่ากัน แต่ตอนนั้นผมยังไม่พร้อมที่จะตาย แม้จะไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้ไป แขนข้างซ้ายของผมจะใช้งานได้มากน้อยแค่ไหน ผมอยู่กับความไม่แน่ใจนานนับปีต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่กับเตียงนานสองเดือนให้พยาบาลล้างหน้า แปรงฟัน เช็ดก้น เวลานอนก็ต้องนอนท่าเดียว เพราะมีแผลที่สะโพกหนึ่งแผล แผลที่ขาข้างขวาอีกหนึ่งแผลมือก็ขยับไม่ได้ กลางคืนก็นอนผวา ฝันว่าไฟดูด พอตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าเป็นเรื่องจริงก็ยิ่งสลด ดังนั้นวันแรกที่ผมอาบน้ำได้ด้วยตัวเอง จึงเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด แต่สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน หลังจากนั้นไม่นานผมก็ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยของภรรยาที่ต้องใช้เวลาในการดูแลรักษาถึงสามปีเต็ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานใจที่สุดในชีวิตของผมก็ว่าได้… (โปรดติดตามตอนต่อไป) บทความน่าสนใจ เมตตากรุณา - ยิ่งแบ่งยิ่งได้ เคล็ดลับความสุขความสำเร็จของสหรัถ สังคปรีชา 5 ข้อดีของการเป็นโสด ก่อประโยชน์ต่อสุขภาพเมื่อได้อยู่คนเดียว แหม่ม อลิสา ขจรไชยกุล ชีวิตพลิกผันจากดารา…สู่แม่ค้าฮาเฮ ตอน 1 […]
การเกิดใหม่อีกครั้ง ของ หนิง - ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา
การเกิดใหม่อีกครั้ง ของ หนิง ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา หนิง ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา เป็นคนมีคติในการใช้ชีวิตที่ไม่ตายตัว เพียงแต่ไม่ว่าจะทำอะไร หนิงต้องทำให้ “ดีที่สุด”ต้องวางแผนไว้เป็นขั้นเป็นตอนเป๊ะ ๆ เพื่อที่หนิงจะสามารถควบคุมทุกอย่างได้หมด แต่แล้วความคิดนี้ก็เริ่ม “เปลี่ยน” ไปเมื่อหนิงมีลูกค่ะ หนิงเคยคิดว่าการมีลูกเป็นสิ่งที่สวยงาม มีความสุข พอเอาเข้าจริงกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เพราะกว่าจะเดินไปถึงจุดนั้นได้ คนเป็นแม่ต้องผ่านบททดสอบมากมายที่รออยู่ข้างหน้า บททดสอบของหนิงเริ่มขึ้นตั้งแต่คืนแรกหลังกลับจากโรงพยาบาลค่ะ เมื่อจู่ ๆ น้องเบลล่า (ด.ญ.กุญช์จารี จีระแพทย์) ที่ดูเหมือนจะเลี้ยงง่าย แผดเสียงร้องไห้จ้าจนหนิงและสามีงงไปหมด เพราะไม่ว่าจะปลอบอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องง่าย ๆ จำได้แม่นเลยว่า คืนนั้นเบลล่าร้องไห้ตั้งแต่สองทุ่มถึงตีสี่ ก่อนจะค่อย ๆ หยุดร้องไปเอง ด้วยความกลัวว่าลูกจะเป็นอะไร หนิงกับสามีต้องนั่งเฝ้าเบลล่าทั้งคืน เมื่อไม่เห็นความผิดปกติ รุ่งเช้าจึงรีบพาไปหาคุณหมอทันที ถึงได้รู้ว่าเบลล่ากำลังอยู่ใน “ภาวะโคลิก” หรือ “เด็กร้องร้อยวัน” ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ได้อันตรายอะไร และจะหายไปเองเมื่ออายุได้ 3 เดือน เพียงแต่ในระยะนี้พ่อและแม่ต้องอดทนอดกลั้นให้มากเข้าไว้ คืนต่อ ๆ มาเบลล่ายังคงร้องไห้ตั้งแต่สองทุ่มถึงตีสี่อีก หนิงก็อดนอน นั่งเฝ้าลูกอีกเช่นเคย ไม่กี่วันต่อมาหนิงเริ่มเข้าสู่ภาวะเครียดจากการอดนอน และเริ่มมี “ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด” ตามมา จากเดิมที่เคยเป็นคนไฮเปอร์ วันหนึ่ง ๆ ต้องทำกิจกรรมนั่นนี่ตลอดวัน แต่เมื่อต้องเลี้ยงลูก หนิงกลับเป็นคนอยู่ติดที่ เพราะอยากเห็นลูกตลอด 24 ชั่วโมง ขนาดกลางวันยังไม่กล้านอนเพราะกลัวคนจะมาขโมยลูก ยิ่งกลางคืนยิ่งไม่นอน เพราะห่วงลูกที่เอาแต่ร้องไห้ จนบางทีหนิงก็ร้องไปกับลูกด้วย แล้วช่วงนั้นถ้าใครพูดถึงลูก หนิงก็จะเศร้า ร้องไห้ เรียกว่าเป็นช่วงชีวิตที่เครียดมาก ทุกข์มาก และเหนื่อยมากที่สุด เชื่อไหมคะว่า เจออย่างนี้เข้าไปเดือนเดียวเท่านั้น น้ำหนักของหนิงก็ลดพรวดพราดลงถึง 15 กิโลกรัม! และแล้วเมื่อครบสามเดือน ไม่เพียงเบลล่าจะหายจากภาวะโคลิกอย่างที่คุณหมอบอกไว้จริง ๆ เท่านั้น ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของหนิงก็พลอยหายไปด้วย สภาพจิตใจกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเรียกว่าโล่งอกกันทุกฝ่าย เหตุการณ์ 3 เดือนนั้นทำให้หนิงรู้เลยว่า “การมีลูกก็เหมือนกับว่าเราได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เกิดเพื่อฝ่าบทพิสูจน์ความเป็นแม่ให้สำเร็จที่สำคัญ การมีลูกยังทำให้หนิงเรียนรู้ว่า “จริง ๆ แล้วเราไม่สามารถควบคุมอะไรในโลกได้ทั้งหมด เพราะแม้แต่ลูกร้องไห้ หนิงยังไม่รู้เลยว่าลูกร้องเพราะอะไร หรือจะสั่งให้หยุดร้องก็ทำไม่ได้” เมื่อความจริงของชีวิตเป็นแบบนี้ หนิงก็ต้องพยายามยอมรับและทำความเข้าใจให้ได้ ต้องรู้จักปล่อยวาง ไม่ตึงเกินไป เช่น ทำอะไรแบบที่ไม่ต้องวางแผนบ้างก็ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดสามารถฝึกให้เราตื่นตัว รู้จักแก้ปัญหาได้ดีทีเดียว ทุกวันนี้หนิงเริ่มมีความสุขกับการเป็นแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่าการมีลูกทำให้จุดมุ่งหมายในชีวิตเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยคิดถึงตัวเองก่อน พอมีลูกหนิงก็จะคิดถึงลูกก่อน หายใจเข้าก็ลูก หายใจออกก็ลูก อยากทำทุกอย่างเพื่อลูก ที่สำคัญที่สุด หนิงอยากเป็นคนที่ดีขึ้น เพราะที่สุดแล้วลูกก็คือ “กระจกเงาของพ่อแม่”พ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นแบบนั้น หนิงตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกอย่างเข้าใจธรรมชาติของเขาให้มากที่สุด จะไม่บังคับหรือควบคุมให้เป็นไปตามต้องการเพราะวันหนึ่งลูกก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตใครได้ แม้ต่อไปหากลูกจะไม่ดูแลเรา หนิงก็จะไม่เสียใจเลย เพราะหนิงกับสามีไม่ได้ต้องการให้ลูกเกิดมาเพื่อดูแลเรา แต่เราต้องการให้ลูกเกิดมาเพื่อรับความรักจากเราต่างหาก นอกจากนั้นแล้วการมีลูกยังเปลี่ยนชีวิตของหนิงอีกอย่างคือ“การออกกำลังกาย” ค่ะ หนิงเป็นคนชอบออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอเห็นคุณแม่เต้นแอโรบิก เราจะโดดเข้าไปแจมด้วย จากนั้นก็เริ่มออกกำลังกายประเภทอื่น ๆ จนกลายเป็นความชอบในที่สุด แต่พอมีลูกปั๊บ หนิงหันมาติดลูกแทน เช้าไปทำงาน พอเลิกงานปั๊บก็รีบกลับมาหาลูกทันที เป็นอย่างนี้อยู่เกือบปีก็เริ่มรู้สึกว่า “เราทิ้งการออกกำลังกายนานเกินไปแล้ว” หนิงจึงตัดสินใจไปสมัครเรียนโยคะ แต่พอไปเรียนจริง ๆกลับไม่มีความสุขเอาเสียเลย เพราะใจคิดแต่ว่า เมื่อไหร่จะเสร็จคิดถึงลูกแล้ว อยากกลับไปหาลูก สุดท้ายหนิงเรียนโยคะได้ไม่กี่ครั้งก็ยอมแพ้ จนวันหนึ่งหนิงเห็นสามีกำลังออกกำลังกายตามดีวีดีอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนแรกเป็นห่วงว่าเขาจะหัวใจวายเพราะมันดูหนักหน่วงมาก แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง จนย่างเข้าเดือนที่สอง หนิงจึงเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงเมื่อสามีหุ่นเฟิร์มขึ้นและเริ่มมีเค้าซิกซ์แพ็กบาง ๆ พอเห็นอย่างนี้หนิงตัดสินใจลองออกกำลังกายตามสามีดูบ้าง ผลปรากฏว่า แค่วอร์มอัพก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว แต่หนิงอดทนไปเรื่อย ๆ แม้วันรุ่งขึ้นจะปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมดก็ตาม คิดในใจว่า“ไม่ยอมแพ้ คราวนี้เป็นไงเป็นกัน” พอย่างเข้าสัปดาห์ที่สอง หนิงก็เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับตัวเอง นอกจากร่างกายจะแข็งแรงขึ้น จู่ ๆ โรคประจำตัวอย่างไมเกรนก็หายไปค่ะ แต่ก่อนพอไมเกรนกำเริบขึ้นมา หนิงต้องรีบทานยาทันที ไม่อย่างนั้นจะทำงานไม่ได้เลย หรือถ้าทำได้ งานนั้นก็อาจจะออกมาไม่ดีเท่าที่ควร หนิงป่วยเป็นไมเกรนมานานเป็นปี ๆ จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองติดยาไมเกรนเข้าแล้ว แต่น่าแปลกว่า พอออกกำลังกายอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไมเกรนก็ค่อย ๆ หายไป การออกกำลังกายทำให้หนิงรู้เลยว่า นอกจากร่างกายจะแข็งแรง ผิวพรรณดีขึ้น และดูอ่อนกว่าวัยแล้ว โรคภัยต่าง ๆ ยังไม่มากวนใจเราอีกด้วย ยิ่งถ้าได้ออกกำลังกายที่บ้านก็ยิ่งตรงใจหนิงที่สุด เพราะได้อยู่กับลูก ประหยัดค่ายิม และประหยัดค่าเดินทางเรียกว่า “สุดยอดจริง ๆ” ชีวิตทุกวันนี้ของหนิงจึงเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เมื่อหนิงมีลูกและสามีที่น่ารัก มีร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรค รวมทั้งยังมีงานที่ดีให้ทำทุก ๆ วัน ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรมากกว่านี้อีก…จริงไหมคะ Secret Box เพราะ “เมื่อวาน” กับ “พรุ่งนี้”คือสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เราจึงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด หนิง ศรัยฉัตร กุญชร ณ […]
ปู – ยุวดี เรืองฉาย ไม่เพี้ยน ไม่บ้า แค่กล้าพูดความจริง (จบ)
ปู ยุวดี เรืองฉาย ไม่เพี้ยน ไม่บ้า แค่กล้าพูดความจริง (จบ) ความจริงแล้วน้องชายปูเกือบตายมาแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ อย่างที่ ปู ยุวดี เรืองฉาย เล่าไว้ในตอนแรกว่า น้องชายติดยาเสพติด จนปูต้องขอร้องให้ตำรวจช่วยจับไปเลิกยา หลังเลิกยาสำเร็จ น้องชายกลับมาเรียนที่โรงเรียนพาณิชย์นาวี ต้องฝึกว่ายน้ำและวิ่งวันละหลายๆ กิโล ทำให้สุขภาพร่างกายที่เคยทรุดโทรมจากการเสพยาดีขึ้นผิดหูผิดตา ช่วงนั้นปูเริ่มมีความหวังว่าน้องชายคงจะกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ความหวาดวิตกกังวลที่เคยมีอยู่จึงค่อยๆ จางหายไป แต่แล้วปูก็ดีใจอยู่ได้ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นน้องชายก็หันไปเสพสารเสพติดชนิดใหม่ที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าเดิม ปูส่งน้องชายไปอดยาอีกครั้ง และต้องหมดเงินไปเป็นล้านๆ บาทกับการดูแลรักษา หลายปีที่ผ่านมาชีวิตของน้องชายวนเวียนอยู่กับการเข้าๆ ออกๆ มหาวิทยาลัยสามสี่แห่ง สลับกับการเข้าไปบำบัดรักษาอาการติดยา สุดท้ายเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว ปูก็ต้องปล่อยให้น้องชายใช้ชีวิตไปตามยถากรรม และไม่คาดหวังว่าเขาจะกลับมาดำเนินชีวิตได้เหมือนคนอื่นๆ อีกต่อไป แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งน้องชายก็เลิกยาด้วยตัวเอง เขาต่อสู้กับอาการ“ลงแดง” ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความทุรนทุราย ภาพน้องชายนอนแก้ผ้าร้องโอดโอยอยู่ในห้องน้ำเป็นภาพชินตาที่ปูต้องพยายามทำใจยอมรับให้ได้ว่า “กรรมของใครก็กรรมของมัน” เพราะต่อให้สงสารน้องแค่ไหนปูก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ หลังเลิกยาเสพติดได้สำเร็จ เหมือนอะไรจะดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าน้องชายหันมาติดเบียร์แทน ถึงขนาดกินหมดหนึ่งลังภายในสองวัน จนสภาพร่างกายทรุดโทรมอย่างหนัก มีหลายครั้งที่ต้องหามไปส่งโรงพยาบาล ต้องเปลี่ยนเลือดเป็นสิบๆ ถุง แต่น้องชายก็รอดมาได้ทุกครั้ง ทุกวันนี้น้องชายของปูไม่สามารถเดินตรงๆ […]
ปู – ยุวดี เรืองฉาย ไม่เพี้ยน ไม่บ้า แค่กล้าพูดความจริง (1)
ปู ยุวดี เรืองฉาย ไม่เพี้ยน ไม่บ้า แค่กล้าพูดความจริง (1) ในอีกมุมหนึ่ง ปู ยุวดี เรืองฉาย คือลูกสาวที่ต้องดูแลแม่ที่แก่ชรา ดูแลน้องชายที่ติดยา ดังนั้นชีวิตจริงของปูจึงต่างกับภาพที่คุณเห็นในทีวีราวฟ้ากับเหว เพราะนอกจากจะไม่มีเสียงหัวเราะแล้ว บางช่วงบางตอนก็มีแต่คราบน้ำตา นับตั้งแต่รายการ “แบบว่าโลกเบี้ยว” ดังสุดขีดในปี 2529 ชื่อเสียงของ ปู – ยุวดี เรืองฉาย ก็พลอยดังเป็นพลุแตกตามไปด้วย และทำให้ชื่อมีสร้อยตามหลังว่า “ปู โลกเบี้ยว” อย่างที่เรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้ หากจะว่าไปแล้วโลกนี้ก็บูดๆ เบี้ยวๆ ไม่สมบูรณ์แบบจริงๆ เพราะหากลองมองเข้าไปในครอบครัวไหนสักครอบครัวหนึ่ง เราอาจพบว่ามีรอยขีดข่วน แตกร้าว แหว่งวิ่นแฝงอยู่แทบทั้งนั้น บางครอบครัวพ่อไปทาง แม่ไปทาง หรือบางครอบครัวมีลูกพิการ ติดยา ติดคุก ติดเที่ยว และสารพัดเรื่องราวที่นอกจากจะจัดเป็นปัญหาครอบครัวแล้วบางครั้งยังลุกลามกลายเป็นปัญหาสังคมอีกด้วย เช่นเดียวกันกับครอบครัวของปู ที่เรียกได้ว่ารวมเอาปัญหาที่ไม่น่าเล่าให้ใครฟังมาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่แยกทางกันหรือน้องชายติดยา โดยเฉพาะเรื่องหลังเป็นใครก็คงอยากเก็บไว้ในซอกหลืบที่ลึกที่สุดของบ้าน แต่สำหรับปู เรื่องนี้ยิ่งต้องหยิบยกขึ้นมาพูด เพื่อให้คนอื่นรู้ว่า ยาเสพติดทำร้ายชีวิตและทำร้ายครอบครัวได้ยับเยินขนาดไหน เชื่อว่าหลายครอบครัวอาจประสบปัญหาเดียวกับปู คือมีเรื่องราวที่ไม่ดีเกิดขึ้น แต่วิธีการจัดการปัญหาของแต่ละครอบครัวคงแตกต่างกันไป […]