Chalita
แพนเค้ก-เขมนิจ กับ การเรียนรู้บนโลกที่ไม่หยุดนิ่ง
แพนเค้ก เขมนิจ กับ การเรียนรู้บนโลกที่ไม่หยุดนิ่ง แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ ไม่เพียงเป็นนักแสดงสาวชั้นแนวหน้าของเมืองไทย แต่เธอยังมีอีกหลายบทบาทในชีวิต ทั้งลูกสาวคนโตของครอบครัว นักศึกษาปริญญาเอกรวมไปถึงงานสาธารณกุศล จนสื่อมักตั้งฉายาว่า “นางฟ้า” สำหรับเธอแล้ว ทุกสิ่งที่ได้ทำคือการเรียนรู้ ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามกาลเวลา ชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไรคะ แพนเติบโตมาเหมือนเด็กทั่วไป เป็นเด็กเรียบ ๆ ง่าย ๆ คุณแม่พยายามสนับสนุนให้ทำกิจกรรมเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง และเป็นพื้นฐานในการหาสิ่งที่ชอบจริง ๆ เช่นเล่นกีฬา เทนนิส กอล์ฟ เรียนร้องเพลงเรียนเต้น ขณะเดียว กันคุณแม่ก็รู้ว่าเราแอบชอบเรื่องความสวยความงาม เพราะชอบอยู่ในห้อง เล่นแต่งตัวใส่เสื้อผ้า เล่นละครหน้ากระจกคนเดียว แต่ยังขี้อาย ไม่ชอบออกมาเล่นให้คนอื่นดู จึงไม่เคยคิดจะเข้าวงการ จนมาถึงจุดเปลี่ยนตอน ม. 5 แพนชนะการประกวดไทยซุปเปอร์โมเดลปี 2004 ชีวิตเปลี่ยนภายในคืนเดียว แพนและคุณแม่ต้องตัดสินใจร่วมกันว่าจะเริ่มต้นทำอะไรก่อนดี ต้องเตรียมตัวและดูแลตัวเองอย่างไร ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องใหม่ที่จะได้ทำ แพนปรึกษาคุณแม่ ท่านบอกว่า ถ้าตัดสินใจเลือกมาเส้นทางนี้แล้วก็ต้องเดินหน้า เพราะคุณแม่จะตัดสินใจออกจากงานเพื่อมาดูแลแพนโดยเฉพาะ เราจึงเดินมาพร้อมกันตั้งแต่นั้นจนถึงทุกวันนี้ คุณแม่สอนอะไรบ้างคะ คุณแม่ยื่นโอกาสให้เราไปเรียนรู้เองและให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกเสมอ แม้บางอย่างจะเกินกำลัง แต่คุณแม่ไม่เคยปิดกั้นโอกาส เวลาที่แม่ให้ทำนู่นทำนี่ มีบ้างที่รู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากทำ แต่พอเราโตขึ้น ได้ทำงานตรงนี้ จึงได้รู้ว่าทุกอย่างที่แม่พยายามให้ทำตั้งแต่เด็กนั้น ทุกวันนี้ได้ใช้หมดเลย แม้ไม่ได้ถึงขั้นมืออาชีพ แต่เราก็ได้นำมาใช้ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองไหมคะ แพน มองว่าเวลา ทำให้ทุกคนต่างมีบทบาทของตัวเอง เพิ่มมากขึ้น เช่น เคยเป็นลูก วันหนึ่งก็ต้องเป็นพ่อเป็นแม่ เคยเป็นนักเรียนหรือลูกศิษย์ โตขึ้นมาก็เป็นอาจารย์เป็นผู้บริหาร เราต้องปรับตัวตามโลกให้ทันในแต่ละวัน ตอนนี้โลกของแพนคือการทำงาน ความคิดความอ่าน หรือคำพูดของเราอาจซึมซับมาจากผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อก่อนแพนไม่ได้พูดเยอะขนาดนี้ เรียกได้ว่าไม่พูดเลย ชอบอยู่เงียบ ๆ เพราะไม่อยากคิดหรือรู้สึกว่าพูดไปแล้วถูกหรือผิดไหม เลยไม่พูดดีกว่า เมื่อเข้ามาอยู่ในวงการก็เหมือนกับฝึกเราไปในตัว ทั้งการพูด การตอบคำถามการคิดในเรื่องต่าง ๆ ทั้งมีสาระและไม่มีสาระเป็นแบบฝึกหัดที่ดีสำหรับแพนเหมือนกัน สนใจงานบุญ โดยเฉพาะด้านพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แพนกับครอบครัวชอบทำกิจกรรมแบบนี้กันมาตลอด เราทำกันเองอยู่แล้ว ทั้งเข้าวัดทำบุญ บริจาค หรือไปสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าและผู้สูงอายุ อย่างวิ่งการกุศลแพนก็วิ่งมานานมากแล้ว งานตรงนี้ทำให้รู้สึกว่า อย่างน้อยเราได้เป็นส่วนเล็ก ๆ ในการช่วยเหลือผู้อื่น ได้ทำบุญและร่วมกิจกรรมในครอบครัวด้วย เป็นช่องทางที่ทำให้เราสามารถบอกต่อให้คนสนใจทำบุญมากขึ้น การทำบุญทำได้หลายอย่าง ไม่ใช่แค่เข้าวัดอย่างเดียว ยังมีอะไรในสังคมเยอะมากที่ต้องการความช่วยเหลือ ที่ต้องการกระบอกเสียง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือหมาแมว สิ่งแวดล้อม หรืออะไรก็ตาม สำหรับแพน การทำบุญคือการให้ด้วยความตั้งใจ วันนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยังคะ แพนไม่ได้มองว่าจุดสูงสุดในชีวิตหรือการประสบความสำเร็จที่สุดคือตรงไหนหรือต้องเมื่อไหร่ รู้สึกแค่ว่าแต่ละวันที่เรามีโอกาสได้ทำก็ทำให้เต็มที่ และประเมินตนเองในใจว่าเราทำได้ดีอย่างที่ตั้งใจหรือยังบางวันกลับบ้านมาอาจรู้สึกไม่ดี หรือคิดว่าตัดสินใจผิดพลาดก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้วางเป้าหมายอะไรเพียงแค่ทำทุกวันให้ดี มีความสุข ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ชีวิตเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้ ถ้าวันข้างหน้ามีโอกาสได้ทำอะไรมากกว่านี้ก็นับเป็นกำไรในชีวิต เรายังคงต้องเดินหน้าทำงานต่อไป มีคนถามว่าจะหยุดทำงานเมื่อไหร่หรือแค่ไหนจึงจะพอ แพนว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องทำงานและมีความสุขในสิ่งที่เราทำต่อไป โลกหมุนไป เราเองก็เลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เช่นกัน เรื่องโดย : อุราณี ทับทอง ภาพโดย : สุเมธ วิวัฒน์วิชา, วรวุฒิ วิชาธร บทความที่น่าสนใจ เด็กดื้อได้ดีมีอยู่จริง อุ๋ย บุดด้าเบลส นาย ณภัทร เสียงสมบุญดวงใจของซิงเกิ้ลมัม กับวิธีสอนลูกที่ใช้ธรรมนำทาง 3 สุขที่สุดในชีวิตของพระเอกตลอดกาล – เคน ธีรเดช
โจอี้บอย ผู้ชายมาดกวนกับ “บางสิ่ง” ที่ซ่อนไว้หลังแว่นดำ
โจอี้บอย ผู้ชายมาดกวนกับ “บางสิ่ง” ที่ซ่อนไว้หลังแว่นดำ คงมีคนไม่มากนักที่รู้จักผู้ชายชื่อ “อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต” แต่หากเปลี่ยนมาเป็น “โจอี้ บอย”หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะเขาเป็นแร็พเปอร์คนแรก ๆ ของประเทศ ที่อัลบั้ม Fun Fun Fun ของเขามียอดขายเกินล้านชุด นอกจากนั้นเขายังได้ทำในสิ่งที่คนจำนวนมากใฝ่ฝัน อย่างการเป็นนักกีฬาพารามอเตอร์ทีมชาติ และการเป็นโค้ชนักปั้นศิลปินในรายการ The Voice Thailand ซึ่งผู้ชมทั่วประเทศต่างติดอกติดใจ ในความฮาปนห่าม และความกวนปนเก๋าสไตล์แบดบอยของเขา หลังจากที่เขากดปุ่ม “I Want You”เลือกคนเข้าทีมมานักต่อนัก คราวนี้ถึงเวลาที่ Secret จะ “กดปุ่ม” เลือกหนุ่มมาดกวนคนนี้มาพูดคุยกันบ้าง เรามาดูว่าภายใต้แว่นดำและเรียวหนวดกวน ๆ อันคุ้นตานั้น…เขาจะมีอะไรมาเซอร์ไพร้ส์ผู้อ่าน! ช่วยเล่าเรื่องราวของเด็กที่ชื่อ “โจ้” ก่อนที่เขาจะมาเป็น “ โจอี้ บอย” สักนิดนึงค่ะ ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นเด็กวัดครับ แต่ไม่ได้อยู่วัดหรอกนะ แค่เรียนโรงเรียนวัดตั้งแต่ประถม คือโรงเรียนวัดพลับพลาชัยกับโรงเรียนวัดราชาธิวาส จึงได้รับการปลูกฝังเรื่องพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก และทำให้ผมท่องบทสวดมนต์ได้เกือบหมด จนถึงวันนี้ก็ยังท่องได้อยู่ การได้สวดมนต์และได้ฟังเสียงสวดมาเยอะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการแร็พของผม อย่างเช่นในส่วนของเมโลดี้การสวด ซึ่งเป็นสไตล์ที่เรียกกันว่า Chant ซึ่งทางยุโรปจะชอบวิธีการร้องแบบนี้กันมาก แล้วเด็กโรงเรียนวัดเริ่มเข้าสู่แวดวงสเกตบอร์ดได้อย่างไรคะ ผมเริ่มเล่นสเกตฯช่วงอายุประมาณ13 - 14 ปี ก่อนหน้านั้นผมเล่นฮอกกี้น้ำแข็งอยู่ทีมลีโอ เป็นทีมชาติจูเนียร์ แต่หลังจากที่ตัวเริ่มโต รองเท้าฮอกกี้เริ่มคับ ผมไม่อยากขอเงินพ่อแม่ไปซื้อรองเท้าใหม่ ซึ่งราคาแพงมาก คู่ละเป็นหมื่น ผมเลยผันตัวเองไปเล่นสเกตบอร์ดแทน คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนด้วยไหมคะ คุณแม่จะตามใจและสนับสนุนผมตลอด พยายามเปิดโลกทัศน์ให้ลูกเสมอพยายามหาเงินส่งเราไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ ส่วนคุณพ่อจะคอยดุแล้วก็ปรับเราให้อยู่กับร่องกับรอย ผมจึงโตมาโดยการเลี้ยงดูที่มีทั้งสปอยล์และอยู่ในกรอบ ครอบครัวคาดหวังจากลูกชายคนนี้มากไหมคะ เขาก็คาดหวังกันนะครับ เพราะผมเป็นหลานคนโตในตระกูลคนจีน ตอนเด็ก ๆได้อยู่แต่ในอู่รถยนต์ซึ่งเป็นกิจการของที่บ้านถูกใช้ให้ไปซื้อของ บางทีพ่อก็ให้ลองล้างคาร์บูเรเตอร์ มืองี้ดำปี๋ ผมเลยไม่เคยชอบอะไรเกี่ยวกับรถเลย แล้วคุณพ่อทราบไหมครับว่าลูกชายคงไม่รับช่วงกิจการต่อแน่นอน เขารู้อยู่แล้วครับว่าผมไม่เอา และคงเป็นห่วงอยู่บ้าง เพราะผมเรียนไม่เก่งธุรกิจก็ไม่เอา แต่พ่อแม่คงเห็นว่าผมน่าจะเอาตัวรอดได้ ก็เลยลองวัดใจกับเราดู ท่านให้ผมลองทำหลายอย่าง ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่มีค่ามาก อย่างแม่เขาทำธุรกิจอัญมณีเล็ก ๆเลยส่งผมไปฝึกงานออกแบบอัญมณีที่โรงงานญี่ปุ่นตั้งแต่อยู่ ม. 3 ปิดเทอมผมต้องฝึกงานที่ออฟฟิศทั้งวัน ถามว่าชอบไหม ก็ชอบกว่าล้างคาร์บูฯ แต่ไม่ได้ชอบจริง ๆ แค่ชอบที่ได้นั่งห้องแอร์สบาย ๆ เท่านั้น ถึงผมจะเป็นแบบนี้ แต่ถามว่าผมเคยใจแตกหรือเสี่ยงกับการเสียอนาคตไหมตอบได้เลยว่าไม่เคย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำพ่อแม่ก็อยู่ตรงนั้นเสมอ เรื่องหนีออกจากบ้านนี่ไม่เคยมีอยู่ในหัว ทะเลาะกับพ่อแม่ก็ไม่เคย คือผมเชื่อเสมอว่ามีวิธีการที่ดีกว่านั้น พอเห็นคนอื่นทำ ผมยังคิดเลยว่าเขาจะทำอย่างนั้นทำไมวะ สำหรับผม การทะเลาะกับพ่อแม่เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดที่สุดสองคนนี้คือสองคนสุดท้ายที่เราควรจะทะเลาะด้วยเลยนะโว้ย ทำไมเด็กคนอื่นไม่รู้จักวิธีการดีลกับพ่อแม่เขาวะ ถ้าเป็นผม ผมจะคุยด้วยเหตุผล ผมดีลกับพ่อแม่แบบนี้มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต รวมถึงกรณีที่ผมขอเลิกเรียนเพื่อไปเป็นนักร้องด้วย คือเราต้องสร้างความมั่นใจให้เขาเสียก่อนว่าเราทำได้ แล้วหลังจากนั้นการจะคิดอ่านทำอะไร ท่านก็จะเชื่อมั่นและสนับสนุนเรา ตอนนี้นอกจากดูแลพ่อแม่แล้ว การทำให้พ่อแม่มั่นใจและแฮ็ปปี้ในตัวเราก็ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตผมมาตลอด ไม่ว่าจะทำอะไร ผมจะคิดก่อนเลยว่า ถ้าพ่อกับแม่รู้แล้วเขาจะแฮ็ปปี้หรือเปล่า ถ้าไม่แฮ็ปปี้ ผมไม่ทำ ซึ่งเท่าที่สังเกตดู เขาก็แฮ็ปปี้กับสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดนะครับ อาจจะไม่แฮ็ปปี้อยู่เรื่องเดียวคือยังไม่แต่งงานสักที (หัวเราะ) เพราะตอนนี้น้องสาวผมก็แต่งงานมีลูกไปแล้ว ทุกวันนี้คุณมองผู้ชายที่ชื่อ “โจอี้ บอย” อย่างไรบ้าง โจอี้ บอย ถือเป็นพาร์ตหนึ่งของชีวิตผม เป็นอาชีพของผม แล้วผมก็ยังคงสนุกสนานกับอาชีพที่เป็นโจอี้ บอย ล่าสุดเพิ่งออกซิงเกิ้ล “เมียไม่มี” ที่ผมทำเอง โดยไม่ได้คิดว่าต้องทำเพื่อขาย แต่เหมือนทำเพื่อแจกแฟนเพลง ทุกวันนี้การทำเพลงไม่ใช่งานสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเหมือนความสนุกสำหรับผมกับแฟนเพลงมากกว่า ต้องยอมรับว่าชื่อโจอี้ บอย ส่งผลให้เราได้ทำหลาย ๆ อย่างที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การร้องเพลงอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นทำค่ายเพลง โปรดิวเซอร์ พระเอกหนัง ผู้กำกับภาพยนตร์ หรือว่าเป็นนักกีฬาทีมชาติ ผมคิดมาตลอดว่า เรามีโอกาสได้มายืนตรงนี้และมีคนคอยเฝ้าดู ฉะนั้นเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เริ่มตั้งแต่การใช้ชีวิตไปจนถึงทุกสิ่งที่ทำ ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาเห็นว่า คนเราทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรหรือยากเย็นแค่ไหน ซึ่งผมพิสูจน์มาด้วยตัวเองแล้วว่า ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าปีที่หนึ่งยังไม่เห็นผล ก็ขอให้ตั้งใจต่อในปีที่สอง ปีที่สาม หรือปีที่สี่ มันต้องเห็นผลแน่นอน คติประจำใจของคุณคืออะไรคะ คติที่ผมใช้มาตลอดคือ “ขึ้นให้สุดลงให้สุด” เพราะสำหรับผม คนเราเกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ดังนั้นถ้าอยากทำอะไรก็จงทำซะ ทำให้เต็มที่ แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจ เรื่องโดย : พีรภัทร โพธิสารัตนะ ภาพโดย : วรวุฒิ วิชาธร, สรยุทธ์ พุ่มภักดี, ไทยรัฐ บทความที่น่าสนใจ กว่าจะเป็น ดา เอ็นโดรฟิน ชีวิตหลังม่าน ของ จินตหรา สุขพัฒน์ โปรดิวเซอร์ โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ กับ เส้นทางชีวิตพาให้เขาเปลี่ยนแปลง 3 สุขที่สุดในชีวิตของพระเอกตลอดกาล […]
สร้างห้องสุขาและโรงต้มวัดป่าเมตตาวนาราม จ. เชียงราย
วัดป่าเมตตาวนาราม อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ขอเชิญร่วมสร้างโรงน้ำร้อน โรงต้มของพระสายป่ากรรมฐานกัน และห้องสุขา 1 ห้อง Secret นำข่าวบอกบุญมากฝากค่ะ
7 ทริคอาบน้ำหน้าหนาวยังไงไม่ให้หนาว
7 ทริคอาบน้ำหน้า หนาว ยังไงไม่ให้หนาว หน้านี้ หน้า หนาว แค่พูดลมหนาวก็โชยมาแล้ว แต่ลมหนาวก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเรามีเสื้อผ้าหนา ๆ ก็อุ่นแล้ว แต่ปัญหา อยู่ที่ตอนอาบน้ำเนี่ยล่ะค่ะ กว่าจะทำใจอาบน้ำ แหม่…ยากเย็นจริงๆ ใครจะอยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับน้ำ 2 3 ขันเนอะคุณ มาค่ะวันนี้เรามีทริคอาบน้ำหน้าหนาวยังไงไม่ให้หนาว มาให้คุณๆทั้งหลายได้ลองทำกันค่ะ เผื่อจะช่วยได้เนอะ 1.ล้างหน้าให้เสร็จก่อนอาบน้ำ ไปถึงห้องน้ำอย่างพึ่งเปลือยกาย ให้ล้างหน้า แปรงฟันให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยถอดเสื้อผ้า อาบน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าคุณแปรงฟันเป็นอย่างสุดท้ายช่วงจังหวะที่ไม่มีน้ำโดนตัวแล้วเนี่ย…คุณอาจจะสั่นสะท้านไปถึงทรวงแน่ 2.ฟอกสบู่ก่อนที่ตัวจะเปียกน้ำ ก็ใช้สบู่ที่คุณฟอกอยู่ทุกวันนั่นแหละค่ะ หยดน้ำลงบนสบู่เพื่อให้เกิดฟอง แล้วก็ฟอกตัวได้เลย มันก็จะมีความฝืดในการฟอกสบู่นิดหน่อย แต่มันได้ผลจริง ๆ นะคุณ แอดลองทำมาแล้ว 3.อาบให้ไว อย่ายืนทำใจนาน ไม่ต้องยืนทำใจนาน ๆ ให้เสียเวลาค่ะ เพราะยังไงมันต้องหนาวอยู่แล้ว หรือคุณจะยอมซักแห้งไปทำงาน ก็คงจะไม่โอเคใช่ไหมคะ ทางที่ดีรีบอาบให้ไวเลยค่ะ พอขึ้นจากน้ำใส่ผ้าขนหนูมันก็อุ่นแล้ว 4.น้ำอุ่นดับหนาว วิธีนี้ดูจะง่ายที่สุดถ้าบ้านไหนมีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่แต๊แต่…บางบ้านไม่ได้ติดเครื่องทำน้ำอุ่นอ่ะสิ่ ทำไง? ก็เอาน้ำใส่หม้อต้มเองเลยจ้า แล้วค่อยเอามาผสมน้ำเย็นตามที่ต้องการ […]
เจ ชนาธิป บวช 9 วันเพื่อทดแทนคุณบิดา มารดา
เจ ชนาธิป บวช 9 วันเพื่อทดแทนคุณบิดา มารดา – ได้ฉายา “ชนาสโภ” เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา วัดบางช้างเหนือ อ.สามพราน จ.นครปฐมคุณ เจ ชนาธิป หรือที่เรารู้จักในฉายา เมสซี่เจ นักฟุตบอลทีมชาติไทยชื่อดัง ได้ฤกษ์ปลงผมเตรียมเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยเริ่มปลงผมเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ก่อนเตรียมเข้าพิธีอุปสมบทในวันที่ 20 ธันวาคม นี้ ได้รับฉายาทางธรรมว่า ว่า “ชนาสโภ” แปลว่า ผู้แกล้วกล้าในหมู่ชน โดยมีพระพิพัฒน์ศึกษากร เจ้าคณะตำบลยายชา เจ้าอาวาสวัดบางช้างเหนือ เป็นพระอุปัชฌา ที่วัดบางช้าง บรรยากาศในการปลงผมนาคมีเพื่อนนักเตะ รวมทั้งนายถิรชัย วุฒิธรรม รอง ผวจ.กรุงเทพมหานคร ดร.โสภิต ภาโณมัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีปทุม เชาว์ อ่อนเอี่ยม นักเตะรุ่นโอลิมปิก 1968 พร้อมทั้งเพื่อนศิลปินดารา รวมไปถึงญาติพี่น้องมาร่วมงานกันอย่างมากมาย โดยได้เปิดเผยความรู้สึกว่า […]
จริงหรือไม่? “พูดกับตัวเอง” ช่วยให้ฉลาด
จริงหรือไม่? พูดกับตัวเอง ช่วยให้ฉลาด จริงหรือไม่? พูดกับตัวเอง ช่วยให้ฉลาด สงสัยใช่ไหมคะว่าจะเป็นไปได้จริงหรือ แต่ได้มีผลการวิจัยที่ระบุว่าพฤติกรรมพูดกับตัวเองเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งของอัจฉริยะ และมีส่วนช่วยทำให้เราฉลาดขึ้น ทีมนักวิจัยจาก Bangor University อังกฤษ ติดตามศึกษาเพื่อดูความแตกต่างของสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการพูดกับตัวเองแบบออกเสียงและการพูดกับตัวเองแบบไม่ออกเสียง โดยให้อาสาสมัคร 28 คนอ่านหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัด สลับกับอ่านหนังสือแบบเงียบ ๆ ผลปรากฏว่า เมื่ออ่านหนังสือแบบออกเสียงดัง อาสาสมัครทั้ง 28 คนมีสมาธิมากขึ้น และอ่านได้ดีขึ้นมากกว่าการอ่านหนังสือแบบเงียบๆ หนึ่งในนักวิจัยอธิบายว่า มนุษย์ทุกคนมีระดับสมาธิ ความตั้งใจ และขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้นเมื่อพูดออกเสียงดังฟังชัดกับตัวเอง เช่น ระหว่างการแข่งขันเทนนิสเรามักเห็นนักกีฬาพูดกับตัวเองเสียงดัง โดยเฉพาะในช่วงที่การแข่งขันกำลังสูสี พฤติกรรมนี้ช่วยทำให้นักกีฬามีสมาธิจดจ่อกับการแข่งขันมากขึ้น นอกจากนั้นยังค้นพบอีกว่า แม้แต่การพูดคุยกับตัวเองแบบไม่เปล่งเสียงออกมา (พูดในหัว) ก็เป็นอีกคุณสมบัติสำคัญของมนุษย์ที่ช่วยให้เราควบคุมตนเองได้ แล้ววันนี้คุณพูดกับตัวเองหรือยังคะ
กว่าจะเป็น ดา เอ็นโดรฟิน
กว่าจะเป็น ดา เอ็นโดรฟิน กับบททดสอบของชีวิต ธนิดา ธรรมวิมล เป็นที่รู้จักในชื่อของ ดา เอ็นโดรฟิน หนึ่งในนักร้องเสียงทรงพลังของเมืองไทย ที่เพิ่งพิสูจน์ความสามารถในฐานะ โค้ชเดอะวอยซ์คนใหม่ในซีซั่นล่าสุด เธอบอกว่าเบื้องหลังความสำเร็จในวันนี้ไม่ใช่แค่ “ความมุ่งมั่น” แต่ยังประกอบด้วยบางสิ่งที่เชื่อว่าไม่มีวันหายไปจากโลกที่หมุนเร็วและฉาบฉวยใบนี้ ชีวิตก่อนเข้าวงการเป็นอย่างไรบ้างคะ ดาเป็นลูกหลานข้าราชการ ไล่มาตั้งแต่รุ่นคุณย่า คุณยาย คุณลุง คุณน้า จนถึงคุณพ่อ คุณแม่ แต่จู่ ๆ ก็มีดาอยู่คนเดียวในครอบครัวที่ลุกมาจับกีตาร์ เล่นดนตรีตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม เพราะรู้สึกว่าใช่เรามากเป็นตัวเองมากที่สุด ครอบครัวจึงค่อนข้างแอนตี้ เพราะสมัยก่อนเชื่อกันว่าข้าราชการเป็นอาชีพที่ปลอดภัย อยู่กินสบาย แล้วดาก็เป็นลูกสาวคนโต เป็นความหวังแรกของครอบครัว มีแต่คุณยายที่สนับสนุนดาเรื่องร้องรำตั้งแต่เด็ก ถ้ามีงานประกวดท่านจะพาไปแต่งหน้าทำผม แอบเป็นแม่ยกเบา ๆเพราะเชียร์เสียงดังมากไม่ได้ (หัวเราะ) กระทั่งช่วงใกล้เอนทรานซ์ คุณพ่อคุณแม่ให้จริงจังกับชีวิต ไม่เห็นด้วยที่เล่นดนตรี เพราะภาพนักดนตรีในความคิดของท่านไม่ค่อยดี วงร็อค อันเทอร์เนทีฟ ชอบขึ้นไปเตะกลอง เตะนู่นเตะนี่ ซึ่งดูรุนแรงทำให้เสียคน เราเลยทะเลาะกัน จนคุณพ่อตัดสินใจซื้อใบสมัครดุริยางค์ทหารเรือเพื่อให้เรารับราชการ แต่ดาก็ไม่สนใจ ครั้งนั้นครอบครัวสั่นคลอนมาก เป็นช่วงเวลาที่หนักที่สุด ความตั้งใจเรามันเร็วและแรงจนคุณพ่อคุณแม่ตามไม่ทัน ดาลุยคนเดียว คิดคนเดียว ไปประกวด ซ้อมดนตรี ทำเดโมเพลงโดยที่เขาก็ไม่รู้ ครอบครัวไม่อบอุ่นเลยในช่วงระยะเวลา 2 ปีครึ่งเราไม่คุยกัน คุณพ่อไม่โอเคเลยกับดนตรีคุณแม่ก็ต้องคอยเป็นคนกลาง จนถึง ม.5 เทอม 2 วันหนึ่งดาไปซ้อมดนตรี เจ้าของห้องซ้อมมาขออัดเพลงไปบอกว่าจะเอาไปให้เพื่อนฟัง เราก็ไม่ได้ว่าอะไรอาทิตย์ต่อมาแกรมมี่โทร.มาหา ปรากฏว่าเพื่อนพี่คนนั้นคือโปรดิวเซอร์ค่ายแกรมมี่เขาแต่งเพลง “เพื่อนสนิท” อยากให้เราไปร้องพอสกรีนเทสต์เสร็จ แกรมมี่ก็ให้เซ็นสัญญาเลยเราไม่คิดมาก่อนว่าโอกาสจะเกิดจากซีดีแผ่นเดียว เกิดความเปลี่ยนแปลงในครอบครัวอย่างไรบ้างคะ ตอนนั้นดาอายุยังไม่ถึง 18 ปี เซ็นสัญญาไม่ได้ คนแอนตี้ที่สุดก็ต้องมาเป็นผู้ปกครองเซ็นสัญญาที่ตึกแกรมมี่ หลังจากนั้นคุณพ่อก็ดีขึ้น เพราะเห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เรื่องนี้ดามองว่าเป็นข้อเสียของครอบครัวที่ไม่มีเวลาให้กัน ความสัมพันธ์ในครอบครัวมันหายไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โกรธกันเลย แต่ถ้าไม่ได้คุยหรือสื่อสารกันก็สามารถสร้างด้านลบได้ แค่เรื่องนิดเดียวอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ส่วนคุณยายบอกว่า “ถ้าฉันเด็กกว่านี้สัก 20 ปีนะ ฉันจะเป็นผู้จัดการส่วนตัว หิ้วกระเป๋าไปช่วยเธอ” (หัวเราะ) ยอมรับเลยว่าแอดติจูดส่วนใหญ่ของดาได้มาจากคุณยายท่านเป็นลูกสาวลิเก เลิกกับคุณตาตั้งแต่30 ต้น ๆ เป็นโสดเลี้ยงลูก 3 คน ถ้าไม่มีใครรักลูกตัวเองก็ไม่แต่งงานใหม่ ยายเป็นคนเดียวที่เชื่อว่าหลานทำได้ ดาสนิทกับคุณยายมากทุกวันนี้ยังตื่นเช้าไปตลาดกับยายเป็นประจำ รู้สึกอย่างไรหลังจากได้เป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว ทำงานกับพี่ๆ โปรดิวเซอร์แฮ้งเอ๊าต์กัน นั่งฟังเขาคุยเรื่องชีวิตเหมือนชีวิตวัย 17 ข้ามสเต็ปไปมีเพื่อนอายุ 30 เลยดากลายเป็นเด็กโตเร็วที่ต้องดูแลตัวเองและดูแลคนอื่น ๆ ในวงด้วย ดาฟอร์มวงขึ้นมามีทั้งนักดนตรี คนขับรถตู้ แบ็กสเตจ เป็นหัวหน้าคนตั้งแต่เด็ก ๆ บางทีรู้สึกว่าเหนื่อยจังแต่จะคิดถึงคำพูดคุณยายที่บอกเสมอว่า“ชิล ๆ สิ” “ไม่เป็นไรหรอก” “ไม่เห็นเหรอคนอื่นเขาลำบากกว่าเราตั้งเยอะ” ขณะเดียวกันก็มีอีกความรู้สึกหนึ่งคือแอบสะใจเบา ๆ (หัวเราะ) เป็นความสะใจและภูมิใจ เพราะรู้สึกกดดันมาตลอดว่า เราเป็นพี่คนโตที่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง แต่พลิกกลับโดยสิ้นเชิง ของขวัญชิ้นแรกคือใช้หนี้สหกรณ์โรงเรียนให้คุณแม่ ดารู้สึกว่าถ้าที่บ้านสบายก่อน เราจะสบายใจ แต่ถ้าเราสบายก่อนจะรู้สึกผิด ต่อมาก็ตั้งเป้าเก็บเงินซื้อบ้านด้วยเงินสด เพราะดาโตมากับแฟลตตำรวจ และไม่อยากเป็นหนี้ ความสุขเริ่มเบ่งบานในช่วงนี้ ทุกคนมีความสุข มีบ้านมีหมา มีแมว ดากลายเป็นลูกคนโตที่จัดระเบียบความสุขของคนในบ้าน คลิกเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป ช่วงหนึ่งมีกระแสโจมตี ดา เรื่อง “ดังแล้วแยกวง” พอสมควร ทำใจกับเรื่องนี้อย่างไร ตอนนั้นวงเอ็นโดรฟินเป็นวัยรุ่นกันทั้งหมด แต่เรากินข้าวคนละรสชาติ แนวดนตรีคนละแบบ จึงตัดสินใจร่วมกันว่าแยกวง เหมือนคนเป็นแฟนกันใช้ชีวิตแบบนี้ไม่มีความสุขแล้ว เราเลิกกันเถอะ (หัวเราะ)แต่ดาโดนว่าว่าดังแล้วแยกวงเยอะมาก ช่วงอัลบั้ม 3 ก็เหลือตัวคนเดียว ดาพยายามให้กำลังใจตัวเองบ่อย ๆ ว่า ไม่เป็นไร ผลงานจะพิสูจน์เราเอง เป็นนักร้องเดี่ยวที่ใช้นามสกุลเดิมก็ถูกแล้วที่สายตาคนข้างนอกจะมองแบบนั้น แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา ทำไมเราไม่มีความสุข ช่วงแรก ๆ เคยท้อและเครียด เพราะต้องทัวร์คนเดียวกับแบ็กอัพแบนด์ที่เราไม่รู้จัก กีตาร์ เบส กลอง เปลี่ยนคนใหม่ตลอด เคมีของวงไม่ลิงค์กันก็ยาก ต้องปรับตัวไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันดาก็คิดอีกมุมหนึ่งว่า เฮ้ย นี้มันบททดสอบ ถ้าเราข้ามจุดนี้ไปได้ ก็อยู่บนเวทีใหญ่ได้แล้วนะจึงค่อย ๆ ปรับจูนตัวเอง เมื่อมีความทุกข์ก็ควรปรับที่ตัวเองใช่ไหมคะ ใช่ค่ะ ปรับที่ตัวเองก่อน อาจเพราะเราถูกสอนให้ช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็ก ต้องปรับตัวเองตั้งแต่ถูกแอนตี้เรื่องที่เรามุ่งมั่นบางคนปรับไม่ได้ก็เตลิดไปเลย แต่ดาคิดว่าการที่เราทำให้คนที่เรารักเสียใจเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากที่สุด ถ้าคุณยายรู้ว่าเราติดยาหรือพยายามฆ่าตัวตาย ท้อแท้ หมดหวังคนที่เสียใจที่สุดก็คือคนที่เรารัก เมื่อรู้สึกตัวว่าเราจะทำไม่ดี ก็ต้องรีบห้ามตัวเอง ระหว่างที่ชีวิตเดินมาบนเส้นทางนี้ ดาเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีเยอะมาก นักดนตรีเล่นยากินเหล้า ปาร์ตี้ คนตีกัน มีให้เห็นตลอดเวลา แต่เราบอกตัวเองได้ว่าไม่อยากเป็นแบบนั้น อาจซ่าจนหลุดไปบ้างนิดหน่อยแต่ก็ไม่ปล่อยให้เตลิดไป เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเรากลับบ้านมา แล้วยายจับได้ว่าไปทำอะไรมา ยายต้องเสียใจ พ่อแม่ต้องเสียใจ หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ต้องถามตัวเองว่าเราอยากจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าดาเชื่อว่าสุดท้ายความจริงใจและความดีที่เรามีจะตัดคนที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต เหลือแต่คนดี ๆ ในชีวิตเพียงไม่กี่คน รวมถึงความรู้สึกเราด้วย ความรู้สึกในแง่ลบจะค่อย ๆถูกดีดออกไป เราจะคิดได้ว่าเราไม่ต้องการปริมาณ แต่ต้องการคุณภาพ คนส่วนใหญ่ทุกข์เรื่องความรัก แต่ชอบฟังเพลงเศร้าที่ส่งผลต่ออารมณ์มีคำแนะนำเรื่องนี้ไหมคะ ไม่ผิดที่คนเราจะมีมุมคิดเยอะ มุมดราม่า มุมกำลังข้ามผ่านปัญหา เวลาที่ดาไปทัวร์คอนเสิร์ตแล้วร้องเพลงเศร้า ดาจะบอกกับแฟนเพลงว่า ถ้าวันนี้อยากจะร้องไห้ ให้ร้องเป็นวันสุดท้าย ร้องให้จบ พรุ่งนี้ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ชีวิตมีอะไรให้สนุกอีกเยอะ ดาเองก็เคยมีโมเมนต์เลิกกับแฟนเก่า แต่คติของดาคือ จบเร็ว ไม่จมนาน เพราะชีวิตมันเดินผ่านเวลาไปเร็วมาก ไม่อยากเสียเวลากับมัน เรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดจะทำลายพลังงานบวกของเรา ถ้าปล่อยให้มันกินพลังงานเราไปหมด รู้ตัวอีกทีอาจสายเกินไป ถ้าเราโดนพลังงานลบครอบงำสัก20 เปอร์เซ็นต์ ก็ควรรีบตื่นแล้วกลับมาทำอะไรให้ชีวิตมันคึกคักดีกว่า โลกตอนนี้มันหมุนไปเร็ว ถ้าเราไม่วิ่งตามให้ทัน อาจพลาดอะไรดี ๆ ในชีวิต เวลาปิดคอนเสิร์ต ดาชอบร้องเพลง“สิ่งสำคัญ” เพราะอยากให้ทุกคนจำว่า อดีตแก้ไม่ได้จริง ๆ คิดเยอะไปก็เท่านั้น แต่ดึงมันมาสอนเราดีกว่า บอกตัวเองว่าจะไม่ทำอีก มีแต่ปัจจุบันที่ทำให้อนาคตดีได้ เพราะฉะนั้นอยู่กับปัจจุบันดีที่สุด คลิกเลข 3 เพื่ออ่านหน้าถัดไป ยุคนี้เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง รวมถึงวงการเพลงด้วยดามีมุมมองเรื่องนี้อย่างไร วงเอ็นโดรฟินอยู่ในช่วงปีสุดท้ายที่ผลิตเทปคาสเส็ต ก่อนจะเป็นแผ่นซีดี ดาก็ โหเปลี่ยนขนาดนี้แล้วหรอ ฉันยังเอาดินสอกรอเทปอยู่เลย (หัวเราะ) จากยุคซีดีก็มาไอพอดMV ก็หาดูได้ในยูทูบ ไม่ต้องรอหน้าทีวีแล้วแต่ดาคิดว่า ถ้าเพลงเราดี คนก็ต้องซื้อถ้าเราร้องดี เล่นสดดี เอนเตอร์เทนคนดียังไงคนก็ต้องซื้อที่ผลงาน วันนี้ทุกอย่างมันง่ายและฉาบฉวยมากขึ้น แต่สิ่งที่จะอยู่คงทนก็คือความสามารถ ซึ่งก็เหมือนกับความดีที่ไม่สามารถมลายหายไปกับเวลาได้ ในยุคนี้ยอดซื้อซีดี ยอดซื้อเพลงต่ำลงมาก เราก็ต้องพาตัวเองไปอยู่ในคอนเสิร์ตใหญ่เพื่อพิสูจน์ความสามารถ และการันตีอีกครั้งว่าฉันยังมีคุณภาพ เป็นบทพิสูจน์หนึ่งที่ดาทำมาตลอด 13 ปี และทุกครั้งที่แฟนเพลงร้องตามไปด้วยกันในคอนเสิร์ต ทำให้ดารู้สึกว่านี่แหละที่เทคโนโลยีฆ่าไม่ได้ ซึ่งก็เหมือนกับความดีของคน ที่เวลาฆ่าไม่ได้เหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งไม่มีใครรู้จักดาอีกแล้วก็เป็นเรื่องปกติของวงการบันเทิง ดาแฮ็ปปี้แล้วสำหรับยุคที่เราได้ตักตวงความสุขมาพอสมควร หากถึงวันนั้นจริง ๆ ดาก็ตั้งเป้าหมายใหม่ที่ทำให้ตัวเองมีชีวิตชีวาอีกครั้งอย่างเช่นการร่วมค่ายอาสาสมัครไปเป็นโค้ชสร้างแรงบันดาลใจ โดยใช้ดนตรีบำบัดเข้าไปผสมผสานกับงานอาสา เยียวยาผู้ที่ต้องการพลังใจ ยังไม่ทันถึงวันนั้น แต่เห็นดาทำงานอาสาสมัครแล้ว เริ่มสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ เพิ่งเริ่มช่วง 2-3 ปีหลังนี้เอง ดาบอกค่ายเพลงว่าอยากใช้ดนตรีไปบำบัดเด็กวัยรุ่นเพราะรู้สึกว่าเด็กจะเสียคนหรือได้ดีเริ่มจากวัยนี้ เขาโตขึ้นมาเห็นอะไรก็จะเป็นแบบนั้นอยู่กับใครมาก็จะเป็นแบบนั้น นี้คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ทุกวันนี้มีเด็กเกิดในครอบครัวที่ไม่มีคุณภาพเยอะมาก เลี้ยงลูกแบบตามมีตามเกิด ไม่ได้สอนให้ออกไปมีชีวิตที่ดีขึ้น ดาจึงอยากไปร้องเพลงความหมายดี ๆ ให้เขารู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือปัจจุบัน อดีตคุณพลาดไปแล้ว คุณแก้ไขไม่ได้ แต่เริ่มใหม่ได้ ล่าสุดดาไปให้กำลังใจเด็กท้องก่อนวัยอันควรที่บ้านพักเด็กฉุกเฉิน ดอนเมืองพวกเขามีลูกแบบไม่ตั้งใจ พ่อเป็นโรคจิตติดยาเสพติด โดนข่มขืน ดาใช้พลังของดนตรีนี่แหละบอกเขาว่าอย่าเสียใจไปเลยถ้าวันหนึ่งดาอยากแขวนนวมขึ้นมา อาจเห็นดาช่วยคนอยู่ก็ได้ เคยมีน้องแฟนคลับเขียนจดหมายมาหาบอกว่าพ่อติดคุกไม่รู้จะทำยังไงดี มืดแปดด้านแต่ทุกครั้งที่ฟังเพลงพี่ดาจะได้กำลังใจมากเพราะรู้สึกว่าพี่ดาสู้ชีวิตมาเหมือนกัน หนูก็ต้องทำได้ จะไม่เป็นเด็กข้างถนน ไปปาร์ตี้กับเพื่อนทุกวันแบบเดิมอีกแล้ว เพราะถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไปอีกคน แม่ต้องแย่แน่เลยบางคนเคยเกเร หันไปตั้งใจเรียนก็มี ดารู้สึกดีที่เราได้เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขา ดามีแฟนเพจมากกว่า 2.7 ล้านคนอยากบอกอะไรกับพวกเขาคะ อยากให้ทุกคนเห็นมุมอื่น ๆ ของเรานอกจากการเป็นศิลปิน เป็นโค้ชเดอะวอยซ์นั่งเก้าอี้สีแดงดูยิ่งใหญ่อลังการ ขณะเดียวกันก็อัพรูปกับคุณยาย วันว่าง ๆ วันสบาย ๆพายายไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ทุกวันนี้ยังไปจ่ายตลาดสดอยู่เลย มนุษย์ทุกคนมีหลายมุม บนคอนเสิร์ตดาร้องเต็มที่ เอนเตอร์เทนสุด ๆ แต่พอกลับมาก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนอยู่บ้าน พาหมาไปอาบน้ำ อยากให้เห็นว่าเราก็คนธรรมดานะให้แฟนคลับได้เห็นทุกพาร์ตของเรา แฟนเพลงที่เหนียวแน่นจริง ๆ มักรู้ว่า ดามันเลี้ยงยายเลี้ยงครอบครัวนะเว้ย หลายคนคิดไม่ถึงเพราะดูขัดกับลุคของดามาก คิดว่าคงอยู่ตัวคนเดียว ไม่เอาครอบครัว (หัวเราะ) ความสุขของดาคือทำให้ครอบครัวมีกินมีใช้ มีความสุข ดูแลเขา เพราะเขาดูแลเรามา เรื่องนี้ดาไม่ต้องพูด ถ้าคนเห็นเด็กเห็น แฟนคลับเห็น ก็จะคิดตามได้เองว่าเขาต้องทำแบบนี้ด้วยนะ ต้องไม่รักใครหัวปักหัวปํา กลับมารักที่บ้านบ้าง ยุคนี้เด็กมัธยมมีความรักกันรุนแรงมาก อยู่กันสองคนไม่สนใจคนอื่นเลย ดาจะแอบบอกในเฟซบุ๊กหรือในคอนเสิร์ตว่า ไหนดูซิ สมมุติวันนี้เราไม่มีแฟน อยู่กับเพื่อนเราก็มีความสุขนะบอกรักเพื่อนบ้าง ร้องเพลง “ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ”แล้วหันไปกอดเพื่อนสิ บอกเพื่อนว่าเรามีกันและกันจนถึงทุกวันนี้มันมีค่า แทรกมุมมองไปตามเพลงเรื่อย ๆ ส่วนใครที่เคยเสียใจกับอดีต ดาอยากบอกว่า การเซตนิวโกล หรือตั้งเป้าหมายใหม่ให้ตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากและได้ผลด้วย จะทำให้เราตื่นนอนมาด้วยความหวัง จากนั้นจึงลงมือทำทุกวันให้ดีที่สุดเพราะปัจจุบันคือ “สิ่งสำคัญ” ที่สุด
3 คนสำคัญเบื้องหลัง ก้าวคนละก้าว
3 คนสำคัญเบื้องหลัง ก้าวคนละก้าว พูดถึงโครงการ ก้าวคนละก้าว แน่นอนว่านอกจากเบื้องหน้าอย่างพี่ตูน บอดี้สแลม แล้ว ยังมีทีมงานหลักอีก 3 คน ที่เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยพี่ตูนสานฝันในครั้งนี้ด้วย และ 3 คนนี้เป็นบุคคลที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี คือ เบลล์ โอ๊ต และ หมอเมย์ เพราะพวกเขาอยู่ในทุกๆช่วงการวิ่งของพี่ตูน คุ้นหน้าคุ้นตาขนาดนี้ แต่เชื่อว่าหลายคนต้องอยากรู้จักพวกเขามากกว่านี้อย่างแน่นอน เบลล์ – ชายชาญ ใบมงคล ก่อนหน้านี้โครงการก้าวคนละก้าว ที่บางสะพาน เบลล์คือหัวเรือใหญ่ ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการโครงการ และมาถึง โครงการก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาล เบลล์รับหน้าที่สำคัญอีกครั้งโดยเป็น ผู้ประสานงานและดูแลการวิ่ง เบลล์เล่าให้ฟังว่า ทีมก้าวคนละก้าว คือ “ทีมของเพื่อน” เพราะตูนเป็นเพื่อนเบลล์ เบลล์เป็นครีเอทีฟให้กับตูนในโปรเจ็กต์นี้ ช่วยคิดในการคิดการสื่อสาร และแผนโปรโมต แต่ไม่ค่อยเก่งเรื่องอีเวนต์ออนกราวด์ เลยชวน โอ๊ต – ธีรทัต สังขทัต ณ อยุธยา เข้ามาช่วย โอ๊ตทำตำแหน่งผู้จัดการโครงการด้วยกัน […]
อันซะกิ – ผู้บริหารความตาย
อันซะกิ ผู้บริหารความตาย ขอใช้ช่วงเวลาเหลืออยู่ ให้ดีที่สุด อันซะกิ วัย 80 ปี อดีตประธานบริษัทเครื่องจักรโคมัตสุของญี่ปุ่น เชิญแขกมาร่วมงานถึงกว่า 1,000 คน ซึ่งมีทั้งบรรดาเพื่อนฝูงคนสนิทในปัจจุบัน เพื่อนเก่าร่วมชั้นเรียนในวัยเด็ก คู่ค้าและหุ้นส่วนทางธุรกิจ รวมทั้งบรรดาพนักงานบริษัทในสังกัดด้วย และเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา แพทย์แจ้งกับนายอันซะกิว่า ตรวจพบมะเร็งถุงน้ำดีระยะสุดท้าย ทำให้เขาตัดสินใจไม่รับการรักษาซึ่งจะมีผลข้างเคียงรุนแรงเพราะ “ต้องการให้ตนเองมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ในช่วงเวลาที่ยังเหลืออยู่” ในการแถลงข่าวหลังงานเลี้ยง “ปิดฉากชีวิต” จบลง นายอันซะกิบอกว่า “ผมพอใจแล้วที่ได้กล่าวคำขอบคุณต่อเหล่าผู้คนที่ได้พบในชั่วชีวิตนี้ ผมมีความสุขกับชีวิตมากจริง ๆ ผมว่าความหดหู่สิ้นหวังไม่ใช่นิสัยของผม” นายอันซะกิกล่าว หากมองในทางพระพุทธศาสนา ท่าน ว. วชิรเมธี ได้กล่าวไว้ว่า จะเรียกว่าเป็นการการฝึกเจริญมรณานุสติ หรือ “การระลึกถึงความตาย” มรณานุสติอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มรณัสสติ” ก็ได้ แปลว่า “การระลึกถึงความตาย” เหมือนกัน ทำไมต้องระลึกถึงความตาย เพราะความตายเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลาเมื่อระลึกว่าตนจะต้องตายในวันใดวันหนึ่ง ก็จะทำให้เกิดความไม่ประมาทหันกลับมาดำรงชีวิตอย่างมีสติ คนที่มักมากชอบสะสมสมบัติพัสถานกองเป็นภูเขาเลากาก็จะได้ตื่นขึ้นมาฉุกคิดว่า “เมื่อตายไป ทรัพย์สักนิดก็หาติดตามไปได้ไม่” คนที่คิดได้อย่างนี้ก็จะปล่อยลงปลงได้ สะสมแต่เฉพาะสิ่งที่เป็นแก่นสารต่อการดำรงชีวิตจริง ๆ คนส่วนใหญ่ไม่อยากระลึกถึงความตายเพราะถือกันว่า ความตายเป็นเรื่องอัปมงคล ใครพูดเรื่องความตายขึ้นมา ก็มักจะถูกมองด้วยหางตาว่า ไม่รู้กาลเทศะ ไม่รู้อะไรควรไม่ควร ผลของการพยายามหลบเลี่ยงความตายดังกล่าวมานี้ จึงเมื่อวันหนึ่ง ตัวเองหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญความตายขึ้นมาจริง ๆ จึงไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันได้อย่างไร การที่พระพุทธองค์ทรงถือว่าการเจริญมรณัสสติ เป็นส่วนหนึ่งของการเจริญสติ อีกรูปแบบหนึ่งนั้น ก็เพราะทรงมีพุทธประสงค์ให้คนส่วนใหญ่ “หายมัวเมาในชีวิต” เพราะในโลกนี้มีคนจำนวนมากใช้ชีวิตดังหนึ่งตัวเองจะไม่แก่ ไม่ตาย กิน ดื่ม เสพเที่ยว หลับ นอน อหังการ บ้ายศ ทรัพย์อำนาจ ลืมตัว ลืมตน จนหลงลืมกุศลผลบุญ หลงลืมสัจธรรมของชีวิต คนที่เจริญมรณัสสติอยู่เสมอนั้น จะได้รับผลทันตา คือ ไม่ประหวั่นพรั่นพรึงต่อความตาย จะหันกลับมาใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า ไม่มีแม้สักวินาทีเดียวที่เขาจะพร่าผลาญเวลาไปอย่างไร้ประโยชน์ เขาจะถือว่าการฆ่าเวลาไปกับกิจกรรมอันไร้แก่นสาร ในแง่พฤติกรรมระหว่างวัน คนที่หมั่นเจริญมรณัสสติ ก็จะเลือกสรรทำแต่พฤติกรรมเชิงคุณภาพล้วน ๆ พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราหมั่นระลึกถึงความตาย ไม่ใช่เพื่อจะให้กลัวตายแต่เพื่อที่จะให้เรารู้จักที่จะดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างดีที่สุดหัวใจของการดำรงชีวิตอยู่อย่างดีที่สุดก็คือ การดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทไม่ประมาทในอะไรเล่า… 1. ไม่ประมาทในชีวิต […]
เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปียร์ กับชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา”
เชษฐ์ วรเชษฐ์ มือกลองวงสไมล์บัฟฟาโลมีชื่อเสียงในยุคที่ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟหลังจากนั้นเขากลับหายหน้าหายตาจากวงการไปนาน เราได้พบเขาอีกครั้งในฐานะของ “เกษตรกร”
บุ๋ม ปนัดดา ทำความดีด้วยหัวใจ กับ ความสุขในการเป็นจิตอาสา
บุ๋ม ปนัดดา ทำความดีด้วยหัวใจ กับ ความสุขในการเป็นจิตอาสา แม้จะมีงานล้นมือแค่ไหน แต่ บุ๋ม ปนัดดา คนนี้ ก็ยังไม่หยุดที่จะช่วยเหลือสังคม และยังเดินหน้าทำความดีต่อไป ล่าสุดนักแสดง พิธีกร ใจกล้า บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี มุ่งไปใต้ ที่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส เพื่อร่วมกิจกรรมดีๆ กับองค์การปกครองท้องถิ่นจิตอาสา ทำความดีด้วยหัวใจ โดยไม่หวั่นกับการลงพื้นที่ไปใน 3 จังหวัดภาคใต้เลยสักครั้ง เพราะคิดเสมอว่า ใจมีพลังมากพอที่จะขจัดความกลัวออกไป และยังพร้อมที่จะไปช่วยเหลือพี่น้อง 3 จังหวัดภาคใต้อยู่เรื่อยๆ คุณบุ๋มเคยบอกกับซีเคร็ตในฐานะที่เป็นคนของประชาชนและเป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ได้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือสังคมและพระพุทธศาสนา โดยเธอจะช่วยงานท่าน ว.วชิรเมธีอยู่เป็นประจำ งานที่ช่วยท่านก็จะมีงานแปลเอกสาร แปลจดหมาย หรือบางทีก็ไปเป็นพิธีกรงานเปิดห้องสมุด หาทุนให้กับนักเรียน หาทุนสร้างห้องสมุด สร้างโรงเรียน บางทีก็ไปเป็นพิธีกรพากย์แข่งเรือ ตีกอล์ฟ หรืองานฟุตบอลการกุศล เรียกว่าท่านมีงานอะไรก็จะส่งมาให้ ทุกงานเป็นงานบุญ ซึ่งเธอเต็มใจและภูมิใจมาก ๆ ที่ได้ทำ เธอไปช่วยท่าน ว.วชิรเมธี ตั้งแต่สมัยที่ยังมีแค่อาศรมอิสรชน ตอนนั้นห้องน้ำยังเป็นห้องน้ำติดแก๊สอยู่เลย ครั้งหนึ่งเธอเข้าห้องน้ำแล้วไฟลุกพึ่บขึ้นหลังคา ตกใจร้องลั่น วันรุ่งขึ้นเลยเข้าไปในเมืองแล้วสั่งเปลี่ยนเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นหมดทั้งวัด ทุกครั้งเวลาที่คุณบุ๋มไปกราบท่าน ก็จะเห็นศิษยานุศิษย์เพิ่มมากขึ้นทุกปี อันนี้คือความภูมิใจที่ได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ ๆ เข้าวัดเพิ่มขึ้น เลยทำให้เธอรู้สึกว่า “ดีเนอะ คนทำดีเยอะขึ้น สังคมจะได้น่าอยู่ขึ้น” สุดท้ายนี้ความสุขของบุ๋มคือ… การมีเวลาให้จิตนิ่งหลังจากเจอเหตุการณ์ต่าง ๆมามากมาย การที่รู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ ได้อยู่กับตัวเองนั้นมีความสุขที่สุดแล้ว ถือเป็นแก่นแท้ของชีวิตเลย แต่ถ้าในฐานะแม่คนหนึ่ง ความสุขคือการได้เห็นลูกแข็งแรง ได้เรียนหนังสือ ได้อยู่ในสังคมที่ดี แต่ถ้าในฐานะนางสาวไทย ก็คือการได้ทำสิ่งดี ๆ เพื่อสังคมเพื่อประเทศชาติ ทุกวันนี้บุ๋มอยากทำงานให้ดีที่สุด และในอนาคตข้างหน้าอยากจะรีไทร์ตัวเองเอาจิตมาอยู่กับพระพุทธศาสนาตามรอยพระพุทธเจ้าบ้าง เท่านี้คือความสุขที่สุดแล้ว
สุดยอด!!! เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล วิ่งช่วยโครงการก้าวคนละก้าว ยอดพุ่งเกือบ 10 ล้านบาท
สุดยอด!!! เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล วิ่งช่วยโครงการก้าวคนละก้าว ยอดพุ่งเกือบ 10 ล้านบาท เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล วิ่งยอดพุ่งเกือบ 10 ล้านบาท พี่ตูน บอดี้สแลมได้ออกมาวิ่งใน โครงการก้าวคนละก้าว เพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับ 11 โรงพยาบาล โดยเริ่มวิ่งจากสุดเขตแดนใต้ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ถึงเหนือสุดแดนสยาม อำเภอ แม่สาย จังหวัดเชียงราย แต่ถึงแม้จะวิ่งจากใต้สุด จนถึง เหนือสุด ก็ยังมีบางจังหวัดที่พี่ตูนไม่ได้วิ่งผ่าน และมีดาราหลายๆ คนที่ตั้งใจออกมาวิ่งเพื่อช่วยพี่ตูน หนึ่งในนั้นมี เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย ด้วยค่ะ พี่เชษฐ์ เริ่มวิ่งตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ที่ อำเภอ พนัสนิคม จ.ชลบุรี และล่าสุด 10 ธันวาคม 2560 ที่อำเภอปลวกแดง จ.ระยอง ยอดพุ่งสูงถึง 9,117,151.00 บาท โดยพี่เชษฐ์ได้ลงรูปรูปและโพสลงเฟสบุ๊คส่วนตัวไว้ว่า… “จากการวิ่งขึ้นเนิน ในระยะทาง20ก.ม. […]
ข้อคิดเรียกสติ จาก หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ข้อคิดเรียกสติ จาก หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ข้อคิดเรียกสติ จากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้กล่าวถึงวิธีการเรียกสติไว้อย่างเข้าใจง่าย ๆ ว่า จิต กับ สติ จิตเป็นแต่เพียงความรู้สึก รู้นึก รู้คิด รู้ร้อน รู้เย็น เท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อาตมาขอถามดูซิว่า คนวิกลจริตเราเรียกว่าคนไม่มีสติใช่ไหม แล้วเขามีจิตหรือเปล่า เขายังมีจิต พอจิตเขาไม่มีสติ เขาก็กลายเป็นคนวิกลจริต สติถ้าจะว่าโดยส่วนรวมแล้ว ถ้าจิตไม่มี อะไรก็ไม่มี ธรรมก็ไม่มี สติก็ไม่มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาก็ไม่มี ถ้าไม่มีจิต โดยธรรมชาติของคนเราจะต้องมีส่วนประกอบ 2 อย่าง คือ กาย จิต ทีนี้เมื่อมีจิตเพียงหนึ่ง ไม่มีกายเป็นส่วนประกอบ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จแต่เมื่อมาก่อร่างเป็นตัว เป็นตน เป็นรูป เป็นร่างขึ้น มีตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ แล้วจิตอันนี้ก็อาศัยประสาท คือ ประสาทตา หู จมูก ลิ้นกาย และหัวใจ ซึ่งเรียกว่ามันสมอง เป็นสื่อสัมพันธ์ ความรู้สึกนึกคิด ซึ่งแสดงอาการออกมาด้วยการคิดดีและคิดชั่ว ดังนั้นสภาพความเป็นจริงของจิตนั้นเป็นแต่เพียงรู้สึก รู้นึก รู้คิดแต่หาระเบียบไม่ได้ คิดเรื่อยเปื่อยไป แต่เมื่อมีสติเป็นเครื่องประกอบซึ่งเรียกว่าเจตสิกที่ประกอบอยู่ในจิต ถ้าคนมีสติอ่อน ๆ ก็กลายเป็นคนปัญญาอ่อน ถ้าคนมีสติเข้มแข็งก็กลายเป็นคนมีปัญญาโดยธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจิตกับสติ เราจึงต้องเข้าใจว่า จิตนี้เพียงแต่นึก แต่คิด แต่หาความเป็นระเบียบไม่ได้ แต่เมื่อมีสติเข้าประกอบเป็นเจตสิกแล้ว ความคิดของจิตมันจะเป็นระเบียบยิ่งขึ้น เพื่อให้จิตของเราเกิดสติมีสติเข้มแข็งขึ้น เพื่อจะได้จัดระบบความคิดของจิตให้มีระเบียบดีขึ้น จะปราศจากกันไม่ได้ เรื่องจาก : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย จากนิตยสาร Secret คอลัมน์ online stories ภาพจาก : dhammajak Secret Magazine (Thailand) บทความที่น่าสนใจ เปลี่ยน จิตตก เป็น จิตฟู ลดอาการ โรคซึมเศร้า ข้อคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี คลินิกฟอกไต วัดสุทธารามวัดแห่งนี้ไม่ได้เยียวยาเพียงจิตใจ ศีล 5 ไร้คำห้ามข้อคิดฝึกสติ 5 ประการ จากหมู่บ้านพลัม อานิสงส์ของการเจริญสติ โดย […]
รวม 7 ปัญหาที่ แม่ชีศันสนีย์ ช่วยเยียวยาให้พ้นทุกข์
แม่ชีศันสนีย์ ได้นำคำสอนทั้งทางโลก และ ทางธรรม มาช่วยแก้ไขปัญหา ให้กับผู้ที่กำลังมีความทุกข์ และไม่รู้ว่าจะหาทางออกของปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร
3 ดารา ที่มีหัวใจรักสิ่งแวดล้อม
3 ดารา ที่มีหัวใจรักสิ่งแวดล้อม 3 ดารา ที่มีหัวใจรักสิ่งแวดล้อม พระเอกนักอนุรักษ์ ติ๊ก เจษฏาภรณ์ นอกจากงานแสดงแล้ว ติ๊ก เจษฏาภรณ์ ยังเป็นพิธีกรและโปรดิวเซอร์รายการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เนวิเกเตอร์ ทางช่อง 3 มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 และยังเป็นวิทยากรรับเชิญ บรรยายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในสถานศึกษาองค์กรหลายแห่งมาตลอด พี่ติ๊กเปิดเผยกับสื่อว่า “เวลาไปเที่ยวจะไปในแบบอนุรักษ์ คือแค่ได้ไปดู ไปเห็น เก็บไว้แต่ภาพถ่าย และความทรงจำที่สวยงามเท่านั้น ซึ่งถือว่ามันเป็นประสบการณ์ที่คงไม่สามารถนำมาเล่าได้ ต้องไปเห็นด้วยตาและสัมผัสกับตัวเอง แต่ไม่อยากให้ทุกคนไปเพื่อ เที่ยว อย่างเดียว แต่อยากเน้นให้ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดีต่อการท่องเที่ยว ท่องเที่ยวด้วยความตั้งใจในเชิงอนุรักษ์ ” นางเอกสาวหน้าหมวย เต้ย จรินพร มุ่งหน้าอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทางด้านนางเอกสาว เต้ย จรินพร จุนเกียรติ ที่ผ่านมาเดินหน้าทำงานเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก่อตั้งบริษัท ECC THAILAND ร่วมกับ อเล็กซ์ เรนเดลล์ และยังเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครดูแล รักษาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ จนมาถึงอีกหนึ่งโครงการที่ทั้งคู่นำเสนอการวิจัยในโครงการ Fighting Extinction ที่รณรงค์ให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ หันมาให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สัตว์และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ภายใต้การดูแลของศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาประเทศไทย หนุ่มมาดเซอร์ที่มีหัวใจรักสิ่งแวดล้อม ท็อป พิพัฒน์ ท็อป พิพัฒน์ ที่ตอนนี้จะหยิบจับงานชิ้นไหนก็เกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อมซะเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงธุรกิจร้านขายของดีไซน์เพื่อสิ่งแวดล้อม ECO […]
มารีญา สาวลูกครึ่ง กับอีกมุมที่คุณยังไม่รู้
มารีญา แม้ว่าเป็นเธอจะเป็นลูกครึ่งไทย เแต่เธอก็ไม่ทิ้งวัฒนธรรมไทย และวิถีปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานทางสังคมไทย คือพระพุทธศาสนา
เจาะใจ!!! ตั้งแต่อดีตของ ต้อม – ไกรวิทย์ พุ่มสุโข จนถึงอนาคต
ไกรวิทย์ พุ่มสุโข อีกมุมหนึ่งของเส้นทางชีวิต ต้อม ไกรวิทย์ พุ่มสุโข อีกมุมหนึ่งของเส้นทางชีวิต นักร้อง “ ตี๋หน้าหยก” ต้อมชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้วจําได้ว่าดีใจที่สุดที่พี่ชายหัดเล่นกีตาร์ เพราะจะได้ร้องเพลงกับเครื่องดนตรีสักที แล้วก็ร้องเพลงเล่นมาเรื่อย จนกระทั่งได้ดูพี่ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย ประกวดร้องเพลง ก็คิดเลยว่าต้องไปประกวดร้องเพลงแบบพี่ตู่ให้ได้ พอดีกับช่วงอยู่มัธยมได้ฟังรายการวิทยุชื่อหน้าต่างดนตรีของ พี่แป๋ว ลดาวัลย์ โสมศรี ซึ่งให้เด็กๆ แต่งเพลงแล้วอัดเสียงร้อง ส่งเข้าไปต้อมจึงแต่งเพลงกับน้องชาย แล้วส่งไปปรากฏว่า ได้รับคัดเลือกให้ไปร้องเพลงในรายการด้วย ต่อมาพี่แป๋วส่งเทปเพลง ซึ่งต้อมร้องเข้าประกวดสยามกลการแล้วได้ผ่านเข้ารอบ 20 คน ซึ่งต้องไปร้องเพลงบนเวทีต้อมจําช่วงเวลานั้นได้ดีมาก ยุคนั้นคนชอบผู้ชายขาวตี๋คนจึงสนใจเรามากเรียกว่าเป็น “น้องตี๋หน้าหยก” วินาทีที่เดินออกมาหน้าเวที ก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังมาก ดังจนไม่ได้ยินเสียงตัวเองด้วยซ้ํา พอร้องประโยคแรกคนดูก็ยิ่งกรี๊ด ต้อมก็ร้องไปตามความเคยชิน แต่พอเข้าเนื้อเพลงท่อนสองเท่านั้นแหละ เหมือนสมองปิดสวิตช์ ลืมเนื้อร้องไปเลย 2 ประโยค คือ แค่ลืมเนื้อร้องก็แย่แล้วนะ สุดท้ายต้อมก็ตกรอบไปตามคาด เพราะการลืมเนื้อเพลง เป็นเรื่องใหญ่มากของการเป็นนักร้อง แต่จบงานวันนั้นมีค่ายเพลงมาติดต่อถึง 3ค่าย ต้อมตัดสินใจเข้าสังกัดของ พี่ปุ๊ก จิตรนา ถวัชรเสถียร โปรดิวเซอร์ของ […]
เชน ธนา กับเบื้องหลังความสำเร็จ
เชน ธนา ในแวดวงธุรกิจ หลังจากก้าวขึ้นมาเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารธุรกิจออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ก่อนหน้านี้ชีวิตของเขาผ่านการฝ่าฟันอุปสรรคมาไม่น้อย