กระบองทอด

กระบองทอด “กระเจี๊ยบเขียว” Deep Fried Okra เมนูอาหารฟิวชัน – A Cuisine

กระเจี๊ยบเขียว

กระเจี๊ยบเขียว ผักพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักมานานแสนนาน ด้วยประโยชน์และสรรพคุณของผักชนิดนี้…นั้นมากมายซะเหลือเกิน จึงไม่แปลกใจเลยที่บ้านไหนๆก็ต่างชอบกินเจ้าผักชนิดนี้เป็นประจำ…เอาล่ะมาดูกันดีกว่าว่ามีดีอย่างไร?

ประโยชน์และสรรพคุณ

เป็นแหล่ง “กลูตาไทโอน”  ที่สำคัญ

กลูตาไทโอน มีบทบาทสำคัญควบคุม “สารอนุมูลอิสระ” ในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซมเซลล์ และทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกาย ช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนิยมใช้สารนี้เพื่อให้ผิวขาวขึ้น เพราะกลูตาไทโอน สามารถกดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีได้ชั่วคราว

“อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร” ชนิดไม่ละลายน้ำ

ซึ่งเป็นส่วนของพืชผักที่ร่างกาย ย่อยไม่ได้ และเส้นใยที่ละลายน้ำได้ สารเมือกหรือเส้นใยที่ละลายน้ำได้ของกระเจี๊ยบเขียว เมื่อลงสู่ลำไส้ใหญ่จะช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ (พรีไบโอติกแบคทีเรีย) ซึ่งจะช่วยลดปริมาณพิษที่ผลิตจากแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย กระเจี๊ยบเขียวจึงจัดเป็นผักสุขภาพสำหรับผู้ป่วยมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง

“เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ” และ “ละลายน้ำ” ของกระเจี๊ยบเขียว

มีคุณสมบัติช่วยการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี โดยเส้นใยที่ละลายน้ำได้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษและขับถ่ายออกทางอุจจาระ จึงไม่มีสารพิษตกค้างในลำไส้ และสำหรับผู้ที่ป่วยโรคเบาหวานและคอเลสเตอรอลสูง เส้นใยที่ละลายน้ำในกระเจี๊ยบเขียวจะช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ช่วยในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยกำจัดไขมันปริมาณสูงที่จับอยู่กับน้ำดีได้

เป็นยารักษา “โรคกระเพาะ” และ “ลำไส้อักเสบ” ได้ดี

ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกและท้องเสียสลับกัน และยังช่วยรักษาอาการปวดท้องจากแผลในกระเพาะอาหารและแผลจากลำไส้เล็กส่วนต้น

ช่วยให้ “ระบบขับถ่าย” ดียิ่งขึ้น

เพราะเมือกในกระเจี๊ยบเขียว จะมีสารในกลุ่ม polysaccharide ช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ (พรีไบโอติก) ทั้งยังดูดน้ำเข้ามาในลำไส้ ช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น

เป็นยาแก้ “พยาธิ” ตัวจี๊ด!

จาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน บอกว่า นำผลกระเจี๊ยบเขียวที่ยังอ่อนมาปรุงเป็นอาหาร เช่น ต้มหรือย่างไฟให้สุก จิ้มกับน้ำพริก หรือทำแกงส้ม แกงเลียง กินวันละ 3 เวลาทุกวัน โดยจะกินเท่าไหร่ก็ได้ แต่อย่างน้อยวันละ 4-5 ผล ติดต่อกัน 15 วัน หรือบางคนต้องกินเป็นเดือนจึงจะหาย หรือตำรับที่ 2 ใช้รากกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเขียว ต้มกิน

ใครที่ยังไม่เคยหรือไม่กล้าลองรับประทานกระเจี๊ยบเขียวสดๆนั้น…อยากให้ลองเริ่มรับประทานดูนะคะ ลองนำกระเจี๊ยบเขียวไปชุปแป้งทอดรับประทานคู่กับน้ำพริก จะช่วยให้รับประทานได้ง่ายขึ้น และสำหรับใครที่ชอบรับประทานกระเจี๊ยบเขียวอยู่แล้ว แอดก็อยากจะให้รับประทานเป็นประจำนะคะเพื่อสุขภาพที่ดีของแฟนเพจทุกคนค่ะ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.