ธ.ก.ส. ทุ่ม 9.3 หมื่นล้าน หนุนเครดิตเพื่อสังคมเกษตรด้วย “บัตรเกษตรสุขใจ”
ธ.ก.ส. – ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดพิธีเปิดโครงการขับเคลื่อนมาตรการเกษตรประชารัฐ พร้อมเปิดตัว “บัตรเกษตรสุขใจ” บัตรเอกสิทธิ์พิเศษสำหรับเกษตรกร วงเงินรายละไม่เกิน 30,000 บาท เป้าหมายเกษตรกรทั่วประเทศ 3 ล้านราย เพื่อนำไปซื้อปัจจัยการผลิตที่มีมาตรฐาน ราคาเป็นธรรม โดยมี นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสังคมไร้เงินสดของภาครัฐเดินหน้ามาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ณ สหกรณ์การเกษตรคลองเขื่อน จำกัด อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา
นายลักษณ์ วจนานวัช กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินมาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 2 โครงการ วงเงิน 93,600 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร ซึ่งดำเนินการในรูปแบบบัตรสวัสดิการสินเชื่อแห่งรัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อปัจจัย การผลิตผ่านร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมายเกษตรกร 3 ล้านราย รายละไม่เกิน 30,000 บาท วงเงินสินเชื่อรวม 90,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MRR-3 ต่อปี(ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 7 ต่อปี) และโครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่สถาบันเกษตรกรในการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดเพื่อจำหน่ายให้แก่สมาชิกของสถาบันเกษตรกรและเกษตรกรทั่วไป จำนวน 500 แห่ง วงเงินสินเชื่อ 3,600 ล้านบาท
ด้านนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินงานตามมาตรการเกษตรประชารัฐเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐบาล โดยโครงการลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรนั้น ธ.ก.ส. ได้จัดทำ “บัตรเกษตรสุขใจ” ซึ่งเป็นบัตรที่มี QR Code ที่สามารถใช้จ่ายเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต ได้แก่ ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์ น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกลหรือเครื่องมือการเกษตรขนาดเล็ก และปัจจัยอื่นๆ ที่จำเป็น ได้แก่ ข้าวสารผ่านแอปพลิเคชั่น ธ.ก.ส. A-Shop กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 17,000 ร้านค้าทั่วประเทศ
ทั้งนี้ บัตรแต่ละใบมีวงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 30,000 บาท บัตรเกษตรสุขใจจึงมีความสะดวกปลอดภัย ช่วยลดต้นทุนเรื่องอัตราดอกเบี้ย ทำให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น รวมถึงสามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ในราคาที่เป็นธรรมจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบของเกษตรกรได้อีกทาง