[Movie Review] เดอะ แบทเทิลชิป ไอส์แลนด์ (The Battleship Island) รวมกันเราเป็นหนึ่ง
“ เดอะ แบทเทิลชิป ไอส์แลนด์ ” (The Battleship Island) กลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในเกาหลี หลังมียอดจองก่อนฉายจริงทำลายสถิติภาพยนตร์ที่มีคนแห่งจองสูงสุดอย่างหนังซอมบี้ Train To Busan ไปอย่างขาดลอย
ภาพยนตร์ได้นักแสดงนำกระแสดีอย่างซง จุงกิ, โซ จีซบ และฮวาง จองมิน เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้ชม กำกับโดย รยู ซึงฮวาน ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงที่เคยฝากผลงานไว้แล้วกับเรื่อง Berlin File เบอร์ลิน รหัสลับระอุเดือด (2013)
เนื้อเรื่องบอกเล่าเรื่องราวของชาวเกาหลีที่พยายามจะหลบหนีจากเหมืองถ่านหินบนเกาะเรือรบ (Battleship Island) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เกาะฮาชิมะ ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 (1939 – 1945) กองทัพญี่ปุ่น ได้เกณฑ์แรงงานชาวจีนและเกาหลีที่เป็นจำเลยในช่วงสงครามโลก มาทำงานในเหมืองถ่านหิน ทำให้สถานที่แห่งนี้ในสายตาของชาวจีนและเกาหลีเปรียบเสมือนกับฝันร้าย
หลายคนอาจคุ้นเคยกับชื่อเกาะฮาชิมะกันมาบ้างแล้ว จากการเป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของภาพยนตร์เรื่อง “เกมนรก โรงเรียนพันธุ์โหด” (Battle Royale) และภาพยนตร์ไทยเรื่อง ฮาชิมะ โปรเจกต์ ไม่เชื่อ ต้องลบหลู่ โดยเกาะนี้อยู่นอกชายฝั่งห่างจากเมืองนางาซากิ ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นเกาะที่มีบริษัทหนึ่งลงทุนสร้างไว้เพื่อใช้เป็นที่พักของคนงานอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน หลังจากถ่านหินไม่นิยมใช้เพราะมีน้ำมันเข้ามาแทน เกาะฮาชิมะจึงปิดตัวลงในปี ค.ศ. 1974 ผู้คนอพยพออกจากเกาะภายหลังจากที่บริษัทปิดกิจการถ่านหิน ทำให้เกาะถูกปล่อยทิ้งร้าง
หนังเรื่องนี้จะขาดสีสันไปเลยหากไม่ได้คู่พ่อลูกนักดนตรีของกรุงโซล นำแสดงโดย ฮวาง จองมิน และคิม ซูอัน (จาก Train To Busan) ที่หวังจะไปมีอนาคตที่ดีกว่าในญี่ปุ่น แต่ถูกชาวเกาหลีด้วยกันเองหลอก จนต้องขึ้นไปอยู่บนเกาะเรือรบด้วยสภาวะยอมจำนน อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นตัวแทนของคนที่อยู่เป็น คือสามารถปรับตัวเองไปตามเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ
หากใครเคยดูหนังเกาหลีก็คงทราบดีว่าไม่ว่าหนังจะมีเนื้อหาหนักหนาแค่ไหน แต่จะต้องมีความครบรสจากตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกที่เปรียบเสมือนฮีโร่ ตัวร้ายในคราบคนดี ตัวสร้างสีสัน ฯลฯ เรียกได้ว่ามีตั้งแต่เศร้า ซึ้ง ไปจนถึงเสียน้ำตาเพราะหัวเราะให้กับชะตากรรมของตัวละคร
บรรดาชาวเกาหลีมีชีวิตอยู่บนเกาะเรือรบด้วยความแร้นแค้นและถูกกดขี่ แต่ประเด็นเรื่องความบาดหมางกันระหว่างชาติดูไม่แรงเท่าสิ่งที่หนังอยากบอกคนดูคือ การทรยศหักหลังกันเองของเพื่อนร่วมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด
เกาะฮาชิมะในเรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนการจำลองภาพเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ มาให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้ตระหนักถึงความโหดร้ายที่ครั้งหนึ่งมนุษย์เคยก่อให้เกิดขึ้นแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
ทางเลือกมีอยู่เสมอคือจะก้มหน้ายอมรับชะตากรรมหรือจะต่อสู้เพื่อให้ได้ใช้ชีวิต
ขอบคุณภาพจาก: mono film
บทความที่น่าสนใจ