10 หนังพลิกมุมมองชีวิต ที่น่าลองหยิบมาดูสักครั้งในชีวิต

ความหมายของชีวิต ความรัก ศรัทธาและข้อคิดการดำเนินชีวิต มีภาพยนตร์หลายเรื่องได้ตีแผ่นามธรรมเหล่านี้ ให้เราได้ซึมซาบผ่านภาพ เสียง และถ้อยคำมากความหมาย วันนี้ goodlifeupdate ได้รวบรวม 7 หนังพลิกมุมมองชีวิต มานำเสนอ เผื่อวันไหนนักอ่านมีเวลา ก็ลองไปหามาดูเพื่อเติมเต็มแรงบันดาลใจกันได้ค่ะ

 

Billy Elliot (2000)

ลองมองย้อนกลับไปในวัยเด็กที่ผ่านมา คุณเคยมีความปรารถนาแรงกล้าซุกซ่อนเอาไว้หรือเปล่า แล้วเคยมั้ยที่ความต้องการนั้นถูกขีดฆ่าโดยผู้ใหญ่หรือคนรอบข้าง ที่คอยพูดกรอกหู ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

story :

บิลลี่ เอลเลียต คือเด็กคนนั้น เด็กชายผู้เติบโตในครอบครัวยากจนที่ทำงานเหมืองถ่านหิน พ่อของเขาคาดหวังให้ลูกชายกล้าหาญจึงส่งเขาเข้าไปเรียนมวย แต่คาร์สสอนบัลเล่ต์ของคุณนายวิลคินสัน ที่มาขอแบ่งพื้นที่ซ้อมเต้นกับชมรมมวยในวันนั้น กลับเปลี่ยนชีวิตของเด็กชายไปตลอดกาล

ข้ามผ่านกรอบความคิดที่มองว่าเด็กผู้ชายจะต้อง แข็งแกร่ง และ ห้าวหาญ หัวใจของบิลลี่ เอลเลียต เปิดกว้างให้กับความฝันของเขาอย่างเต็มที่ แม้บริบทในสังคมจะไม่ได้เอื้อให้เขามีอิสระทางความคิดมากนัก แต่บิลลี่ก็มีความกล้าหาญพอที่พิสูจน์ตัวเองและฝ่ามันไป

ข้อคิดดีๆ :

ไม่มีกรอบความคิดแบบไหนฉุดรั้งคุณไว้ได้ เมื่อคุณปรารถนาจะเป็น ‘บางสิ่ง’ อย่างแท้จริง

 

Easy A (2010)

คุณเคยถูกตราหน้าว่าเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ ทั้งๆที่มันไม่ได้เป็นความจริงเลยสักนิด แถมข่าวลือยังกะพือไปไวกว่าจะยับยั้งทันหรือเปล่า หนังเรื่องนี้ จะเเนะนำให้เราได้รู้จักกับ โอลีฟ เด็กสาวที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น

story :

โอลีฟ ก็คือสาวไฮสคูลธรรมดาคนหนึ่ง เพื่อที่จะได้เอนจอยกับวันหยุดสุดสัปดาห์ชิลๆ ที่บ้าน เธอสร้างเรื่องหลอกเพื่อนสาวว่า ตัวเองมีนัดกุ๊กกิ๊กกับแฟนหนุ่มที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง ความตื่นเต้นแบบเล่นใหญ่ของเพื่อนทำให้ โอลีฟ เผลอเม้าอย่างสนุกปากว่าได้มีอะไรกับคุณแฟนหนุ่มไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่คิดว่าข่าวลือสุดแซ่บจะลามไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง !

ด้วยความเป็นสาวมั่นที่ไม่ค่อยจะเเคร์สื่อ โอลีฟจึงปล่อยเลยตามเลย แถมยังช่วยราดน้ำมันลงบนไฟข่าวลือ ว่าตัวเองเป็นยิ่งกว่าที่ชาวบ้านเขาลืออีกนะ สุดท้ายเมื่อเรื่องชักจะบานปลาย เธอที่เป็นต้นเหตุจึงต้องหาทางหยุดทุกอย่างด้วยตัวเอง

ข้อคิดดีๆ :

หนังสื่อถึงการมองคนแต่เพียงเปลือกนอก มากกว่าจะสืบหาความจริง ของสังคมในปัจจุบัน และการยอมรับการกระทำของตัวเองอย่างเปิดเผย เรียนผูกก็ต้องรู้จักเรียนแก้ และ โอลีฟ ก็แก้ได้ไม่เลวเลย

 

The Secret Life of Walter Mitty (2013)

หากใครกำลังนั่งมองจอที่ว่างเปล่า อยู่ในชีวิตที่ไร้สีสันของตัวเอง นี่คือหนังเปิดโลกดีๆ ที่คุณควรได้ลองหามาชมกัน

story :

วอลเตอร์ มิตตี้ คือพนักงานผู้คอยจัดเรียงภาพถ่ายจากทั่วทุกมุมโลกที่ส่งตรงมายังนิตยสาร Life โดยเฉพาะภาพถ่ายจาก ฌอน โอ’คอนเนล ช่างภาพระดับโลก ที่จะส่งแค่ฟิล์มม้วนมาให้ แถมยังติดต่อได้ยากสุดๆ อีกต่างหาก เขามีสาวที่ปลื้มจนอยากจีบ มีหัวหน้าที่น่าโมโหจนอยากจะฉะกันสักครั้ง แต่ก็ทำได้แค่มโนภาพ (แบบสุดแฟนตาซี) อยู่ในหัวเท่านั้น

ทุกอย่างเริ่มขึ้นเมื่อ Life ต้องปิดตัว และ ภาพถ่ายล้ำค่า ภาพสุดท้ายที่ ฌอน โอ’คอนเนล ส่งมาให้วอลเตอร์ก็ดันหายไป ทำให้เขาตัดสินใจออกตามหา ฌอน โอ’คอนเนล ด้วยตัวเอง เรื่องราวหลังจากนั้นคือการผจญภัยครั้งแรก และครั้งสำคัญในชีวิตวัยกลางคนของ วอลเตอร์ มิตตี้ ที่จะพลิกโฉมชีวิตเขาไปแบบสุดกู่เลยทีเดียว

ข้อคิดดีๆ :

การเดินออกนอกเส้นกั้นที่เราขีดไว้ด้วยตัวเอง อาจทำให้ได้พบมุมมองใหม่ๆ ของชีวิต นั่นคือความกล้าหาญอันแสนคุ้มค่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตในแต่ละวันที่น่าเบื่อนั้นไม่มีความหมาย บทสรุปของหนังจะช่วยเฉลยคุณค่าในสิ่งที่คุณทำมาตลอดชีวิตให้ได้รู้เอง

 

The Curious Case of Benjamin Button (2008)

story :

วันที่เบนจามิน บัตทั้น ลืมตาดูโลก คือวันที่สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง มันควรจะเป็นวันที่น่ายินดี ถ้าพ่อของเขาไม่หอบหิ้วทารกน้อยวิ่งออกจากบ้าน แล้วเอาไปทิ้งไว้ที่หน้าบ้านพักคนชรา เพราะรูปลักษณ์ที่แก่ย่นไม่สมวัยของเขา

บางคนพูดว่า “มีบางชีวิตที่พระเจ้าไม่ปรารถนาจะให้อยู่” แต่เบนจามินก็ได้ล่วงผ่านค่ำคืนอันโหดร้ายและเติบใหญ่ขึ้นมาได้ เขาเป็นเด็กที่มีทั้งอาการและรูปลักษณ์เหมือนคนแก่ ก่อนจะหนุ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวผ่านไดอารี่ของเบนจามิน ผ่านการพบพานผู้คนที่มอบความหมายของการมีชีวิตอยู่ ผ่านการพลัดพราก ในทุกๆ ช่วงวัย ก่อนจะขมวดบทสรุปเอาไว้อย่างที่ชีวิตหนึ่งควรจะเป็น

ข้อคิดดีๆ :

เราทุกคนต่างมีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่แสนล้ำค่า ไม่ว่ารูปลักษณ์ของเราจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าเวลาของเราจะเดินไปข้างหน้า หรือหมุนวนย้อนกลับ ‘ความรู้สึกดีๆ’ จะยังคงอยู่ เหมือนที่เดซี่ นางเอกของเรื่องได้ตอบคำถามของเบนจามินเอาไว้

เบนจามิน : “คุณจะยังรักผมไหม ถ้าผมฉี่รดที่นอน ถ้าผมหลงลืมว่าเคยทำอะไร มันไม่มีอะไรยั่งยืน”

เดซี่ : “…บางอย่างยั่งยืน”

 

The Devil wear  Prada (2006)

สำหรับคนที่กำลังมุ่งมั่นกับการรทำงานถวายหัว เพื่อลิ้มรสกับความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาพิจารณาตัวเองอีกครั้ง กลับพบว่าตัวเองกำลังค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่ใช่จากภายนอก แต่เป็น ‘ภายใน’ ที่สำคัญ มันช่างไม่ใช่ตัวเราเอาซะเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้ กำลังตีแผ่เรื่องราวของคนที่ใช้ชีวิตแบบนี้อยู่

Story :

แอนเดรีย สาวสวยที่เพิ่งจะเรียนจบด้านวารสารฯ พร้อมประวัติการฝึกงานที่ดีเยี่ยม เธอสมัครเข้าทำงานใน รันเวย์ นิตยสารแฟชั่นระดับท็อป (ทั้งที่ไม่ได้สนใจเรื่องแฟชั่น) เพียงเพื่อเป็นบันไดก้าวไปสู่งานหนังสือพิมพ์ที่เธอรัก หารู้ไม่ว่าที่ รันเวย์ นี้ เธอกำลังจะได้พบกับ มิรันด้า บรรณาธิการระดับสูงของรันเวย์ ที่ใครต่อใครต่างเข็ดขยาดในความเรื่องเยอะของเธอ และเป็นเพราะอิทธิพลในวงการแฟชั่นที่มากล้นของมิรันด้าอีกเช่นกัน ที่ทำให้ทุกคนต่างก็ยอมหลีกทางและทำทุกอย่างเพื่อให้เธอพอใจ แล้ว แอนดี้จะผ่าน 1 ปี ที่ต้องมาทำงานเป็นเลขารองรับอารมณ์ของมิรันด้าไปได้หรือไม่ ?

ข้อคิดดีๆ :

เลือก ในสิ่งที่คุณทำแล้วมีความสุขและเป็นตัวของตัวเอง อย่าให้กระแสสังคม หน้าที่การงาน หรืออะไรก็ตาม กลืนกินตัวตนของคุณ

 

 

Life is beautiful (1997)

มีคำกล่าวว่า เวลาที่เราท้อแท้สิ้นหวัง มองไม่เห็นทางออก ให้มองโลกแง่ดีเอาไว้ หนังเรื่องนี้จะช่วยทำให้คุณได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แม้ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ชีวิตก็ยังงดงามเสมอ

story :

เรื่องราวของกุยโต หนุ่มอารมณ์ดีชาวยิวที่มีความฝันอยากจะเปิดร้านหนังสือ เขาได้พบรักกับดอร่า และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนชื่อว่าโจชัว ชีวิตกำลังจะไปได้ดี แต่แล้วกองทัพนาซีก็เข้ามาและจับตัวชาวยิวไป

ในค่ายกักกัน กุยโต ที่รู้ภาษาเยอรมันรับอาสาทำหน้าที่ล่ามคอยสื่อสาร ที่นั่นเขาจะคอยแสดงละครหลอกลูกชายว่าพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อเล่นเกมชิงรถถัง และนั่นทำให้ลูกชายของเขาเชื่อและกระตือรือร้นกับการเล่นเกมมาก แม้ว่าในความเป็นจริง ทุกๆ อย่างในค่ายกักกันนั้น จะเลวร้ายสำหรับชาวยิวอย่างมากก็ตาม

ข้อคิดดีๆ :

Life is beautiful  ชีวิตงดงามแค่ไหน อยู่ที่มุมมองความคิดของเรา ท่ามกลางสงครามอันโหดร้าย กุยโตโกหกเพื่อประคองหัวใจของลูกเอาไว้ เพราะฉะนั้นคำโกหกและการแสดงของเขา จึงเป็นสิ่งที่งดงาม

 

The Intern (2015)

ในยุคที่คนสองเจเนเรชั่นต้องทำงานร่วมกัน ทัศนคติที่ปรับโอนตรงกันคือสิ่งที่สำคัญมากๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เราได้เห็นว่า เมื่อ เบน และ จูลส์ หรือคนทั้งสองเจนมาเจอกัน ทัศนคติที่ว่าสำคัญนั้นก็จะเด่นชัดขึ้นมาทันที

Story :

เบน คือชายวัย 70 ที่ไม่ได้เอนจอยกับยามว่างหลังเกษียณของเขาเท่าไร เพราะยังคงโหยหาการได้ทำบางสิ่งอย่างเช่นการทำงานเหมือนในอดีตอยู่ วันหนึ่งเขาได้เจอประกาศรับเด็กฝึกงานของบริษัทขายเสื้อผ้าออนไลน์เข้า เบนสนใจและลองสมัครไปทันที ในฐานะเด็กฝึกงานรุ่นเดอะ เขาเข้ากับเพื่อนร่วมงานที่เด็กกว่าหลายช่วงได้ไม่เลว แต่มีอยู่หนึ่งคนที่เข้าถึงยากสุดๆ เธอคือ จูลส์ สาวเก่ง ผู้ก่อตั้งบริษัท จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กฝึกงานรุ่นเดอะ ต้องมาประสานงานแบบตามติดกับสาวมั่น ที่จำแทบไม่ได้ว่าตัวเองประกาศรับเด็กฝึกงานรุ่นพ่อเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร คุณจะได้อมยิ้มกับความเข้าใจโลกของเบน และประทับใจน้ำตาปริ่มกับความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น รวมถึงอุปสรรคของชีวิต และการตัดสินใจเพื่อที่จะก้าวข้ามไปด้วยกัน

ข้อคิดดีๆ :

หากคุณได้ดูจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้ให้ข้อคิดในด้านการใช้ชีวิตมากมาย ทั้งการรับมือกับชีวิตทำงาน ความสัมพันธ์กับผู้คน และชีวิตคู่ ไม่ว่าคุณจะอายุมากแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องหยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ เหมือนอย่างเบน ผู้มองขาดในเรื่องของสมดุล ไม่ว่าจะเป็น เรื่องงาน หรือ ชีวิต ซึ่งเป็นสองสิ่งที่เราไม่ควรจะทุ่มเทให้ด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป

 

มหาลัย เหมืองเเร่ (2005)

มหาลัยเหมืองแร่

creditภาพ @youtube GTHchannel

หากคุณคิดว่าชะตาชีวิตของตัวเอง ตัดสินเอาจากทุกสิ่งทุกอย่าง ภายในรั้วมหาวิทยาลัยแล้วละก็ เราอยากชวนให้คุณ ลองหาวันว่างๆ มานั่งดูภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยกันสักครั้ง

Story :

อาจินต์ คือนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่ถูกให้รีไทร์ กลางครัน เนื่องจากผลการเรียนที่แย่กว่ามาตราฐาน เขาต้องร่ำลาคนรัก เดินทางจากบ้านไปสู่ชนบทอันห่างไกลในจังหวัดพังงา เพื่อหาทางตั้งต้นชีวิตใหม่ ด้วยใบปริญญาที่ระบุไว้แบบครึ่งๆ กลางๆ คือ วิศวะ ปี 2 เขาได้เข้าทำงานที่เหมืองแร่ โดยรับเงินเดือนเท่าๆ กับกรรมกร แม้อาจินต์จะยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย แต่ชีวิตที่แท้จริง ในมหาลัยเหมืองแร่แห่งนี้ของเขาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ภาพยนตร์เล่าเรื่องในมุมมองของอาจินต์  ผ่านบทบรรยาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “หนังสือรวมเรื่องสั้นชุด เหมืองแร่”  บทประพันธ์ชั้นเลิศ ที่กลั่นออกมาจากชีวิตจริงของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ ผู้กลายมาเป็นศิลปินเเห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ.2543 พร้อมกับบรรยากาศเรื่องที่สมจริง แม้จะล้มเหลวในด้านรายได้ ด้วยงบ 70 ล้าน แต่ทำเงินไปเพียง 30 ล้าน แต่ขอยืนยัน ระดับความน่าดู ด้วย 3 รางวัล ของภาพยนตร์ไทย คือ รางวัลสุพรรณหงส์ ชมรมวิจารณ์บันเทิง และคมชัดลึก อวอร์ดค่ะ

ข้อคิดดีๆ :

มหาวิทยาลัย อาจสอนหลายๆ สิ่งในตำรา แต่มหาลัยเหมืองแร่ สอนให้เราใช่ชีวิต ปีที่ 1 เพื่อดัดสันดาน ปี 2 เอาตัวรอด ปี 3 หาตัวตน และ ปี 4 ขุดเกียรติยศ แม้จะห่างไกลความศิวิไล แต่ที่นี่กลับแสดงให้อาจินต์ และเราได้เห็นถึงความสัมพันธ์ การทำงานร่วมกัน และมิตรภาพดีๆ ที่ทุกคนได้มีร่วมกันในสถานที่แห่งนี้ เหมือนกับคำพูดของคนเหมืองคนหนึ่ง ที่พูดกับอาจินต์ก่อนลาจากกันไปว่า “อาจินต์ เอาผมไปฆ่าให้ตาย ผมก็รักคุณ”

 

 

departures (2008)

Story :

ไดโกะ เป็นนักแชลโล่ตกอับ ที่จำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านเกิดไปหางานใหม่ เพราะวงออเคสตร้าที่ทำงานอยู่ถูกยุบ เขาพยายามหางานทำ ที่บ้านเกิดอันเงียบสงบ และได้พบกับงานที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร รายได้ดี แถมยังได้เงินล่วงหน้ามาอีกด้วย แม้ว่าข้อเสนอหลายๆ อย่างจะดีเเสนดี แต่เขากลับลำบากใจที่จะทำ นั่นก็เพราะมันคืองานของ ‘โนคังฉิ’ หรือผู้รับตกแต่งศพ ก่อนจะส่งพวกเขาเหล่านั้น เดินทางไปอีกโลกที่ไกลแสนไกล งานที่ไม่มีใครอยากทำ ซ้ำยังถูกรังเกียจจากสังคม ทว่าจริงๆ แล้วงานนี้กลับมีความหมายมากกว่าที่เขาคิด คุณจะได้พบกับ ความหมายของการเดินทางอันแสนงดงามของชีวิต ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ค่อยๆ นำเสนอให้เราได้เข้าใจไปพร้อมๆ กับไดโกะ อย่างลึกซึ้ง และละเมียดละไม รับประกันความดีงามของหนังด้วยรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ค่ะ

ข้อคิดดีๆ :

เราอาจเป็นเหมือน ไดโกะ และอีกหลายๆ คนในช่วงแรกของหนัง ที่มองความตาย ด้วยสายตาเหมือนมองสิ่งแปลกหน้า แต่แท้จริงแล้ว ความตายนั้นใกล้ชิดเรากว่าที่คิด มันคือการเดินทางรูปแบบหนึ่ง ที่สักวัน ช่วงเวลานั้นของเราก็จะต้องมาถึง ขอเพียงมีความสุขในระหว่างทาง ที่ได้พบเจอกับเหล่าผู้คนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต ใช้เวลาเหล่านั้นให้คุ้มค่า เมื่อถึงคราวที่ต้องออกเดินทางบ้าง ย่อมไม่มีอะไรให้น่าเสียใจ แม้อาจมีน้ำตา แต่ขอให้ร่ำลากันด้วยดี ก่อนจะได้พบกันใหม่อีกครั้ง

 

Spirited away (2002)

Spirited away

Story :

เรื่องราวของจิฮิโระ เด็กผู้หญิง ที่ต้องย้ายโรงเรียน เพราะการงานของที่บ้าน ระหว่างทางนั้นเอง เธอและครอบครัวได้เจอกับอุโมงค์เก่า ที่ทอดยาวไปยังอีกฝั่ง ที่ดูเหมือนจะมีแต่ทุ่งโล่งและเมืองร้าง แม้จะไม่อยาก แต่เด็กน้อยก็จำต้องตามพ่อแม่ของเธอ เข้าไปในเมืองด้วย แต่แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ พ่อและแม่ของเธอก็กลายร่างเป็นหมูไป เพราะดันไปกินอาหารของภูติเข้า เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า บรรดาภูติและวิญญาณก็ค่อยๆ ปรากฏกายขึ้น ที่นี้คือ โรงอาบน้ำวิญญาณ ที่ต้อนรับเฉพาะเเขกที่จ่ายเงินเท่านั้น จิฮิโระได้รับการช่วยเหลือจากฮากุ เด็กหนุ่มปริศนา ที่พาเธอเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโรงอาบน้ำ แต่เธอจะเอาตัวรอดไปจากสถานที่เเห่งนี้ รวมทั้งช่วยพ่อกับแม่เธออย่างไรดีละ?

นี่คือหนึ่งใน แอนิเมชั่นน้ำดีจากแดนอาทิตย์อุทัย ที่เหมือนจะสร้างมาเพื่อเด็ก แต่ความจริงแล้ว ผู้ใหญ่ก็ดูได้ แถมยังลึกซึ้ง จนสามารถนำมาตีความเชิงปรัชญาสะท้อนสังคมได้มากมาย แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะดูไม่สนุก เรื่องราวของจิฮิโระ ฮากุ และเหล่าภูติในโรงอาบน้ำวิญญาณแห่งนี้ เป็นเรื่องการผจญภัยที่ทั้งตื่นเต้น มีสีสัน และชวนให้เราลุ้นระทึกไปกับทุกๆ การตัดสินใจของตัวละคร ทั้งภาพและเพลงประกอบในเรื่องยัง สวยตระการตาและไพเราะจับใจ จนได้รับการยอมรับจากเวทีระดับโลกอย่างออสการ์  กลายเป็นแอนิเมชั่นเอเชียเพียงเรื่องเดียว ที่ได้รางวัลสาขาแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมไปครอง

ข้อคิดดีๆ :

คงตัวตนของตัวเองเอาไว้ อย่าให้กระแสสังคม กลืนกินตัวเราไปได้ เหมือนกับตัวเอกของเรื่อง จิฮิโระ ที่แม่มดในเรื่องขโมยชื่อไป แต่เธอก็ยังยึดมั่นในตัวตน ไม่หวั่นไหวไปกับอุปสรรคและสิ่งเร้าข้างทาง มั่นคงกับเป้าหมาย คือการช่วยครอบครัวนั่นเอง

 

 

 

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.