เชษฐ์ วรเชษฐ์

เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปียร์ กับชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา”

เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปียร์ กับชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา”

เชษฐ์  วรเชษฐ์  เอมเปียร์ กับชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา”

เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ววรเชษฐ์ เอมเปีย หรือ เชษฐ์วงสไมล์บัฟฟาโล มือกลองอารมณ์ดีที่มีฝีไม้ลายมืออันเป็นเอกลักษณ์เป็นหนึ่งในนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคที่ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อครุ่งเรืองหลังจากนั้นเขากลับหายหน้าหายตาจากวงการไปนาน เราได้พบเขาอีกครั้งในฐานะของ “เกษตรกร”

ทำไมเขาจึงเลือกหันหลังให้ชีวิตที่เคยฟุ้งเฟ้อ และกลับมาใช้ชีวิตธรรมดา ๆ โดยยึดหลัก “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา” ที่บ้านเกิดวันนี้เขาพร้อมถ่ายทอดเรื่องราวให้ฟังแล้ว

ฝันที่ไม่เป็นจริง

หลังจบ ม.6 ผมมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯตามความฝัน ผมและเพื่อนตั้งวงดนตรีด้วยกัน แล้วไปรับจ้างเล่นดนตรีตามผับบาร์แต่ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดเราต้องอยู่อย่างขัดสน เพราะโดนโกงค่าจ้างอยู่ซ้ำ ๆ จนอยากเลิกทำอาชีพนี้

แต่แล้วก็มีเพื่อน ๆ ชวนมาเล่นดนตรีแบ็กอัพให้ศิลปิน การหันมาเล่นวงแบ็กอัพให้ศิลปินทำให้ผมมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับ พี่แทนวงเอาท์ไซเดอร์ จากการได้รับคัดเลือกให้เป็นวงแบ็กอัพในช่วงที่มาทัวร์คอนเสิร์ตที่เมืองไทย พอเริ่มสนิทกันพี่แทนจึงแต่งเพลงดีเกินไป และ ฟ้ายังฟ้าอยู่ ให้วงของเราโดยวางแนวเพลงไว้เป็นแบบอัลเทอร์เนทีฟร็อคซึ่งเป็นแนวเพลงค่อนข้างใหม่ในสมัยนั้น   เรียกได้ว่าพี่แทนเป็นผู้ปั้น วงสไมล์บัฟฟาโล ขึ้นมา เพราะเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือและชี้แนะให้เราเล่นและร้องแบบมีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำของคนฟัง

เราทั้งสี่คนตระเวนเสนอเพลงตามค่ายต่าง ๆ แต่ทุกที่ก็เงียบหายไปหมด ผมและเพื่อน ๆ เครียดมาก เพราะตอนนั้นไม่ได้รับงานประจำ เงินทองก็ไม่มีใช้จ่าย ต้องอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ ไปวัน ๆ ช่วงเวลานั้นผมทั้งท้อและเสียใจ จึงตัดสินใจหนีกลับบ้านไปคนเดียว โดยเขียนจดหมายขอโทษทุกคนว่าจะไม่เล่นดนตรีแล้ว   ผมกลับบ้านด้วยสภาพที่โทรมและผอมแห้ง เมื่อเห็นแม่ก็โผเข้ากอดท่านและบอกว่า   “หนูกลับมาบวชให้แม่นะ”

จากนั้นผมก็ทิ้งทุกอย่างเพื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ผมตั้งใจเรียนรู้ธรรมะและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตอนนั้นจิตใจสงบมาก พ่อแม่ก็ชื่นใจ ญาติโยมก็ชื่นชมแต่บวชได้ไม่นานนัก ชีวิตของผมก็มาถึงทางแยกอีกครั้ง   ผมกลับมาบวชที่บ้านเกิดเป็นเวลาเกือบเดือน ชีวิตในผ้าเหลืองทำให้จิตใจสงบ  แต่แล้ววันหนึ่งก็ถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้ง เพื่อน ๆ วงสไมล์บัฟฟาโลมาเยี่ยมที่วัดและบอกว่า  “หลวงพี่ ตอนนี้ทางค่ายเพลง EMIรับเราเป็นศิลปินแล้วนะ”

ตอนที่ได้ยินหัวใจผมลิงโลดไปแล้ว แต่ต้องพยายามตั้งสติและสงบจิตใจ และถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งทุกคนก็พูดคำเดิมว่า ตอนนี้วงสไมล์บัฟฟาโลจะได้ออกเทปแล้ว เพื่อน ๆบอกว่า เราต้องไปทำเพลงเลยทันที   ตอนนั้นผมคิดว่าความฝันกำลังจะเป็นจริงแล้ว คงต้องขอออกไปสู้อีกสักครั้ง จึงตัดสินใจไปหาพระอาจารย์ กราบเรียนท่านว่าขอสึก  ท่านฟังเหตุผลและเห็นว่าตั้งใจจริงจึงไม่ได้ขัดอะไร จากนั้นผมก็เดินมาบอกพ่อกับแม่ที่บ้านท่านก็อนุญาต วันรุ่งขึ้นจึงสึกออกมา

เมื่อสึกแล้ว ผมเข้ากรุงเทพฯทันทีเพื่อไปเซ็นสัญญากับค่ายเพลง จากนั้นบริษัทก็ส่งวงของเราไปอัดเพลง การอัดเสียงสมัยนั้นเครื่องดนตรีทุกชิ้นต้องเล่นกันสด ๆ คนร้องก็ต้องร้องสด แล้วอัดเสียงกันตั้งแต่ต้นจนจบเพลง  เราจึงตั้งใจทุ่มเทเต็มที่ ใส่กันอย่างไม่ยั้ง ไม่ว่าต้องอัดเพลงใหม่สักกี่รอบก็ไม่ท้อ ในที่สุดก็ได้ออกอัลบั้มแรกสมใจ พอปล่อยเพลงออกมาก็ดังเปรี้ยง กี่เพลง ๆ ก็ติดชาร์ตตลอด

คลิกเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

เมื่อคิดย้อนไปถึงชีวิตช่วงนั้น ก็เห็นว่าการที่เด็กหนุ่มอายุ 22 ปีอย่างผมได้รับชื่อเสียงเงินทองในชั่วข้ามคืน ทำให้เป็น“โรคติดความดัง” ไปโดยธรรมชาติ หลงตัวเองว่าเก่งว่าดัง หรือที่โบราณเขาว่า “วัวลืมตีน” พอสังคมเชิดชูว่าเป็นคนดัง ต้อนรับเราอย่างดี  พอยิ่งดัง งานก็ยิ่งเยอะ เล่นดนตรีวันละสามงาน เงินทองเข้ามาเหมือนกับเสกได้  แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมภูมิใจคือ พอลืมตาอ้าปากได้แล้ว ผมไม่เคยลืมพ่อแม่พี่น้อง ผมรีบพาแม่ไปรักษาโรคตาจนหายดี ส่งเงินมาจ่ายค่าผ่อนรถกระบะของพ่อจนหมดช่วยเหลือพี่น้องจนอยู่กันสุขสบายทุกคนแต่ก็เป็นแค่การส่งเงินกลับมา

เมื่อแต่ละคนในวงมีชื่อเสียง มีฐานะกันแล้ว ต่างคนก็ต่างอยากแยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตัวเองรัก สุดท้ายวงสไมล์บัฟฟาโลก็แตก ตัวผมเองออกมาเปิดโรงเรียนสอนดนตรี แล้วก็ชวน หนึ่ง สมาชิกของวงมาลงทุนด้วยกัน ตอนนั้นผมเปิดแบบยิ่งใหญ่เลย ทุ่มสุดตัวแบบทุบหม้อข้าว กะว่าสบายไปอีกนาน

แรก ๆ ธุรกิจก็ไปได้สวย เพราะเรามีชื่อเสียง ใครก็อยากมาเรียนด้วย แต่ต่อมาเจอวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมืองทำให้ธุรกิจซบเซาไม่ค่อยมีคนมาเรียน รายได้หดหาย เงินที่มีก็ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็พังกันทั้งผมและหนึ่ง เพราะเหตุที่ทำอะไรเกินตัว ตอนนั้นผมเครียดมากเงินไม่รู้กี่ล้านที่หายไป ใจไม่อยากกลับไปลำบากเหมือนเดิมแล้ว

ทางออกที่ต้องทำคือขายโรงเรียนให้ได้เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ และเหลือเงินก้อนมาตั้งหลักใหม่ ระหว่างที่เครียดกับเรื่องของตัวเอง ผมได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่าแม่ป่วยหนักมาก  ผมทิ้งทุกอย่างแล้วขับรถกลับบ้านที่ชลบุรีทันที มาถึงแม่ก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วอาการของแม่ค่อนข้างหนัก

จึงต้องทำเรื่องย้ายไปโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า หมอบอกว่าแม่อาจไม่รอด แต่ผมขอให้ช่วยรักษาให้เต็มที่ดูก่อน ผมทรมานใจมากความทุกข์ถาโถมเข้ามาไม่ยั้ง ทั้งเรื่องของตัวเองและความเจ็บป่วยของแม่   ผมทุกข์มากจนคิดหาที่พึ่งทางใจ ซึ่งผมนับถือหลวงพ่อโสธร จึงอธิษฐานหน้าพระ-พุทธรูปที่โรงพยาบาล ขอพรให้ท่านคุ้มครองแม่ให้ปลอดภัย ถ้าแม่ฟื้นผมจะบวชอีกครั้ง    วันรุ่งขึ้นแม่ก็ฟื้นขึ้นมาเหมือนปาฏิหาริย์แม้ท่านยังพูดไม่ได้ แต่เห็นจากสายตาก็รู้ว่ายังมีสติอยู่ ผมจึงสบายใจขึ้น

ไม่นานหลังจากนั้นผมก็โชคดีที่มีคนมาซื้อโรงเรียนดนตรีและบ้านที่ประกาศขายไว้ผมขายสมบัติทุกอย่างที่กรุงเทพฯ เหลือแค่รถคันเดียวสำหรับใช้เดินทาง เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ผมจึงบวชตามที่อธิษฐานไว้   ช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่บวชทำให้ผมคิดได้ว่า ชีวิตที่ผ่านมามีแต่ความวุ่นวายจมอยู่กับกิเลส ที่ทำให้อยากมี อยากได้อยากเป็น จึงตั้งใจว่านับจากนี้ไปจะน้อมนำธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และขอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลพ่อกับแม่ตลอดไป

คลิกเลข 3 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

ธรรมะ ธรรมชาติธรรมด

ในช่วงเวลานี้เองที่ผมเริ่มเข้าวัดไปสวดมนต์ปฏิบัติธรรม จนได้สัมผัสถึงความร่มเย็นในจิตใจ จึงตั้งปณิธานว่า ต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามหลัก “ธรรมะ ธรรมชาติธรรมดา” ซึ่งก็คือมีธรรมะในใจ ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ และอยู่อย่างธรรมดา ไม่ต้องหวือหวาฟุ่มเฟือย

ผมเข้ามาปรับที่ดินรกร้างที่มีอยู่ มุ่งมั่นจะทำพื้นที่แห่งนี้ให้ห้อมล้อมด้วยต้นไม้และธรรมชาติที่สวยงาม ผมปลูกบ้านไม้หลังเล็ก ๆแค่พออยู่อาศัย ปลูกต้นไม้หลากหลายชนิดด้วยสองมือของผมเอง

โดยไม่มีความรู้เรื่องการปลูกต้นไม้และการทำไร่ทำสวนเลย เมื่อพ่อเห็นก็สงสาร แบกจอบมาช่วยขุดดินและปลูกต้นไม้ด้วยกัน จนในที่สุดพื้นที่รอบบ้านก็ร่มรื่น กลายเป็นสวนผสมที่มีทั้งพืชสวนครัวและผลหมากรากไม้ ที่หลายปีต่อมาผมสามารถเก็บผลผลิตมากินได้สบาย ๆ แถมยังเหลือขายเป็นรายได้อีกด้วยผันตัวเองเป็น “ชาวนา”

การเป็นชาวนาของผมเกิดจากการเห็นแปลงนาที่บ้านรกร้างมานาน จึงเข้าไปปรับปรุงที่ดินและปลูกข้าว หวังว่าจะมีผลผลิตไว้กินในครอบครัว โดยเริ่มจากปลูกข้าวหอมนิลปลอดสารพิษที่เกษตรตำบลแนะนำ การทำนาครั้งแรกได้ผลผลิตดีมากผมจึงแจกจ่ายให้คนรู้จักและนำข้าวไปทำบุญที่วัดพระบาทน้ำพุ เพราะเห็นว่าข้าวชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะกับผู้ป่วยที่วัด

แต่การปลูกข้าวครั้งต่อ ๆ มาไม่ราบรื่นนักผลผลิตเสียหายบ้าง ขาดทุนบ้าง ผมไม่ย่อท้อ พยายามหาความรู้และหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ประจวบเหมาะพอดีกับที่เพื่อนบ้านคนหนึ่งสุขภาพไม่ดี ได้กินข้าวหอมนิลของผมแล้วกลับแข็งแรงขึ้นมาทำให้ผมมีกำลังใจว่า อย่างน้อยข้าวที่เราปลูกก็มีประโยชน์ต่อคนที่เจ็บป่วย ซึ่งถ้าเขาหายป่วยได้ก็เท่ากับเราได้บุญด้วย

ผมจึงไปปรึกษากับเกษตรตำบล และหารือกับชาวนาในชุมชนเพื่อร่วมกันปลูกข้าวหอมนิลและข้าวไรซ์เบอร์รี่ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นข้าวปลอดสารพิษเท่านั้น ซึ่งก็มีหลายคนที่เข้ามาร่วมมือร่วมใจกัน ผลผลิตที่ได้เราขายในราคาไม่แพงเพื่อให้ชาวบ้านได้กินข้าวดี ๆ มีประโยชน์ เมื่อคนซื้อไปกินเห็นผลว่าข้าวของเรามีประโยชน์จริง ๆ จึงพูดกันไปปากต่อปากว่า    “ข้าวของเจ้าเชษฐ์สุดยอดไปเลย กินแล้วหายป่วย”

เท่านั้นแหละ คนก็แห่มาซื้อข้าวผมไม่ขาดสาย ยิ่งพอผมถ่ายรูปช่วงทำนาและเก็บเกี่ยวผลผลิตลงเฟซบุ๊ก คนก็ยิ่งรู้จักในวงกว้างและมาอุดหนุนกันตลอด ตอนนี้เราขายดีจนผลิตแทบไม่ทัน  ชาวนาในชุมชนก็มีความสุขเพราะมีรายได้เข้ามาไม่ขาด    เมื่อก่อนผมเคยคิดเสียดายเงินทองบ้าน และรถ

แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความสุขที่แท้จริงของชีวิตไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นเลย ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนให้เหนื่อย ทุกวันนี้ผมสุขใจกับการได้เดินดูต้นไม้รอบบ้าน ใช้ชีวิตอย่างสมถะในบ้านหลังเล็ก ๆและได้อยู่ดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิด

เรื่องดนตรีผมก็ไม่ได้ทิ้งไปไหน ยังพอมีงานบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนมากเป็นการเล่นคอนเสิร์ตการกุศลหรืองานระดมทุนงานบุญต่าง ๆ ผมเคยจัดมินิคอนเสิร์ตที่บ้านเพื่อระดมเงินไปมอบให้สถานเลี้ยงหมาแมวจรจัดในจังหวัดชลบุรีและนำไปทำบุญที่ต่าง ๆเป็นประจำ ซึ่งก็มีแฟนเพลงมาร่วมทำบุญกันอยู่เสมอ

ในวันที่ผมเข้าใจธรรมดาของชีวิต ได้สัมผัสความร่มเย็นของชีวิตที่เดินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมก็อยากแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้คนอื่น จึงแต่งเพลงที่ชื่อว่า ฆ่ากิเลสขึ้นมา อยากให้คนฟังฉุกคิดได้เหมือนกับผมว่า

เพียงฆ่ากิเลสให้ตายไปหมดสิ้น ด้วยการน้อมรับธรรมะมานำทาง ปล่อยวางให้ใจว่างแล้วจะรู้ว่าสุขใดก็ไม่เท่าที่มีธรรมะในใจ

เรื่องโดย : เชิญพร  คงมา

ภาพโดย : สรยุทธ  พุ่มภักดี

 บทความที่น่าสนใจ

ไม่ยึดติดกับความคิด ธรรมะจากพระไพศาล วิสาโล

ความสงบ บทความธรรมะโดย พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.