มะเร็งขั้นสุดท้าย

ไม่ยอมแพ้พ่าย…แม้มะเร็งขั้นสุดท้าย – เรื่องจริงของชีวิต

ไม่ยอมแพ้พ่าย…แม้ มะเร็งขั้นสุดท้าย – เรื่องจริงของชีวิต

ไม่ยอมแพ้ ถึงแม้จะเป็น มะเร็งขั้นสุดท้าย

ผมนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินมานานร่วมหนึ่งชั่วโมงแล้ว รอบตัวผมมีคนไข้และญาติๆ อีกหลายสิบชีวิต เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทว่าภายในใจของผมตอนนี้วุ่นวายกว่านั้นหลายเท่านัก เพราะร้อนใจอยากให้คุณหมอมาดูอาการของผู้หญิงข้างกายผมเสียที หญิงที่เป็นแม่ของลูกทั้งสองคน…ผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในชีวิต

นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป ผมเริ่มนั่งไม่ติด ในที่สุดก็มีหมอเข้ามาซักประวัติของเธอ ไม่นานนักหมอก็บอกให้ผมเข็นภรรยาเข้าไปรอในห้องฉุกเฉิน

ระหว่างที่เข็นรถ สายตาผมก็ลดต่ำลงมามองภรรยา พลางนึกย้อนไปถึงวันที่ผมเดินทางไปพบคุณพ่อคุณแม่เธอที่บ้านต่างจังหวัด เพื่อขอดูแลเธอไปตลอดชีวิต ณ ช่องว่างระหว่างความคิด ผมบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าผลการตรวจครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ผมจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพวกท่านอย่างดีที่สุด

ภรรยาของผมชื่อ นุ่น และอาจเป็นบุพเพสันนิวาสที่ทำให้ผมพบเธอในโลกออนไลน์ในช่วงที่ผมถูกส่งไปทำงานที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา เราสองคนคุยกันข้ามโลกผ่านโปรแกรมแชตอย่างสม่ำเสมอ ก่อนหน้าที่จะได้พบกันจริง ๆ ในอีกหลายเดือนหลังจากนั้น เมื่อผมเสร็จสิ้นภารกิจและเดินทางกลับเมืองไทย

ผมยังจำเดตแรกของเรา ณ ร้านสุกี้ในห้างย่านปิ่นเกล้าได้ดี วันนั้นเธอดูอ้วนกว่าที่ผมเคยเห็นในรูปนิดหน่อย ทว่าตัวจริงของเธอกลับสดใสน่ารักกว่าที่ผมคิดไว้มาก ความสัมพันธ์ของผมกับนักศึกษาวิศวะปีสี่คนนี้พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ความสดใสสมวัยของเธอที่อ่อนกว่าผมประมาณ 4 ปีทำให้ผมรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันซึ่งนอกจากทำให้ผมลืมภาระงานอันหนักหนาแล้ว เธอยังพลอยทำให้ความเจ้าชู้ที่ติดตัวผมมาตลอดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ

คลิกเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

 

หลังจากที่เราคบหากันได้ประมาณปีกว่า ผมก็ตัดสินใจไปกราบคุณพ่อคุณแม่ของคุณนุ่น แล้วเราสองคนก็เริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ร่วมกันในหอพักเล็ก ๆ หลังออฟฟิศของผมนั่นเอง

ไม่นานนัก ผมกับคุณนุ่นก็ได้ลูกคนแรกมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ ผมตั้งชื่อให้ลูกสาวคนนี้ว่า ซิดนี่ย์ หลังจากนั้นอีก 3 ปี บอสตันลูกชายคนเล็กก็เกิดตามมา ต่อมาเราตัดสินใจซื้อบ้านเป็นของตัวเองเพื่อให้ลูก ๆ มีพื้นที่วิ่งเล่นมากขึ้น ระหว่างนั้นแม้ว่าคุณนุ่นจะทำงานบริษัทไปด้วย แต่เธอก็ทำหน้าที่แม่ได้ดีมาก ๆ ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย

พอมีลูก เราสองคนก็เริ่มมองหาหนทางที่จะเพิ่มรายได้เพื่อสร้างฐานะที่มั่นคงให้กับพวกเขา บังเอิญว่าหลังจากซื้อบ้าน ผมได้ซื้อเตาอบขนมเข้าบ้านตามความต้องการของคุณนุ่นด้วย เราสองคนจึงเริ่มนำขนมเค้กที่เราทำกินกันเองในครอบครัวไปฝากขายที่ร้านกาแฟของเพื่อนปรากฏว่า มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนรายได้จากการขายเค้กเริ่มแซงเงินเดือนของคุณนุ่น ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำตั้งแต่กลางปี 2555 เพื่อมาดูแล Boston’s Cup ร้านเค้กของเราอย่างเต็มตัว

ด้วยทำเลที่ใกล้มหาวิทยาลัย ทำให้ในช่วงเดือนแรกขายดีมาก และถึงแม้ว่าช่วงปิดเทอมยอดจะตกลงบ้าง แต่ผมก็หาทางออกด้วยการทำเค้กส่งร้านใหญ่ ๆ ย่านลาดพร้าวและสาทร ทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นหลายหมื่นบาทต่อเดือน แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยการต้องอดหลับอดนอนทำเค้กเพื่อให้ทันขายที่ร้านและส่งลูกค้าในวันรุ่งขึ้น แต่ผมกับคุณนุ่นก็พร้อมยอมเหนื่อย ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตที่ดีขึ้นของครอบครัว

ร้านเค้กที่เกิดขึ้นจากความรักของเรามีแนวโน้มไปได้ดี…ความฝันที่จะได้เห็นครอบครัวมีพร้อมทุกอย่างเริ่มใกล้ความจริงมากขึ้นทุกขณะ

แต่แล้ว…เพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้นคุณนุ่นเริ่มมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียนจนบางครั้งถึงขนาดเป็นลมล้มพับไป น้ำหนักเธอลดลงไปหลายกิโล เรียกว่าสภาพร่างกายของภรรยาผมเริ่มย่ำแย่ลงเป็นลำดับ แต่กระนั้นอาการของคุณนุ่นก็มักจะทุเลาลงเมื่อกินยาพาราเซตามอลธรรมดา ๆ ผมเลยคิดว่าเธอคงจะไม่เป็นอะไรมากนัก

จนกระทั่งวันหนึ่ง…ในขณะที่ผมกำลังประชุมอย่างเคร่งเครียดอยู่กับลูกค้า ผมก็ได้รับข้อความจากภรรยาที่ทำให้ใจผมหล่นวูบ

“วันนี้ไปหาหมอที่คลินิกแถวบ้านหมอบอกว่า ‘ตับโต’ ให้รีบไปอัลตราซาวนด์ด่วนที่สุด”

นาทีนั้น ตับโตคืออะไร ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมต้องพาคุณนุ่นไปตรวจร่างกายให้เร็วที่สุด

เดือนเมษายนที่ปกติเคยเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัว กลายเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องวิ่งวุ่นพาคุณนุ่นไปพบแพทย์ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยพยายามปิดบังผลการตรวจไว้ไม่ให้ภรรยารู้ เพราะไม่ต้องการให้เธอเสียกำลังใจ อีกอย่างคือ ผมแอบหวังว่า คุณนุ่นอาจจะไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงอย่างที่เราทั้งคู่หวั่นกลัว…

แต่แล้วผลการตรวจ CT Scan และผลการตรวจชิ้นเนื้อก็บ่งชัดว่า ภรรยาผมเป็นมะเร็งเต้านมชนิด HER2 Positive ซึ่งเป็นชนิดเติบโตเร็ว และตอนนี้มันได้ลุกลามไปยังตับ กระดูก และต่อมน้ำเหลืองแล้ว…อาการป่วยของคุณนุ่นอยู่ในระยะที่สี่…หรือระยะสุดท้าย!

ผมร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตา เมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่ผมรักที่สุดกำลังเผชิญอยู่กับอะไร!

ผมแทบไม่มีเรี่ยวแรงพอจะทำอะไรต่อไป…ทำได้เพียงถือผลการตรวจกลับบ้านและพยายามหาทางออกสำหรับสิ่งที่ต้องต่อสู้นับจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่ายา ค่ารักษาพยาบาลมูลค่ามหาศาล ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะสามารถหาเงินได้เพียงพอหรือเปล่า แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ครอบครัวอันอบอุ่นของเราที่อาจเหลือเพียงอดีต…แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่มีวันยอมแพ้

“เค้าจะไม่ให้ตัวเองตาย ตัวเองต้องอยู่เลี้ยงลูกกับเค้าไปจนโต”

คลิกเลข 3 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

หลังจากเริ่มตั้งสติได้ ผมก็พยายามทุกทางที่จะทำให้การรักษาคุณนุ่นเป็นไปอย่างดีที่สุดและเร็วที่สุด

โชคยังดีอยู่บ้างที่หลังจากคุณนุ่นจับได้ว่าผมปิดบังอะไรไว้ เธอร้องไห้ฟูมฟายเพียงไม่นานนักก็สามารถกลับมายืนหยัดสู้กับโรคร้ายต่อไป นั่นถือเป็นกำลังใจสำคัญที่ช่วยให้ผมมีแรงต่อสู้กับเหตุการณ์ตรงหน้าต่อไป ไม่ว่าระหว่างทางผมจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง หนึ่งในนั้นคือร้าน Boston’s Cup ที่เราสองคนก่อร่างสร้างมาด้วยกันที่สุดท้ายผมต้องตัดใจขายร้านเพื่อนำเงินมาใช้เป็นค่ายา…แม้จะพอจ่ายได้เพียงไม่กี่เข็มก็ตาม

ทว่าระหว่างที่อาการของคุณนุ่นมีแต่ทรงกับทรุดอย่างต่อเนื่อง มรสุมชีวิตก็ซัดเข้ามาอีกระลอก

“เราคงต้องลดขนาดของบริษัทลงซึ่งหมายถึงต้องลดจำนวนคนลงด้วย…และพี่ขอโทษที่ต้องแจ้งว่า ตุลาก็เป็นหนึ่งในนั้น”

ผมเข้าใจสิ่งที่เจ้านายบอกเป็นอย่างดีเพราะผมก็พอจะรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัทมาสักพักแล้ว และหากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ…ผู้บริหารระดับกลางเงินเดือนสูงอย่างผมก็น่าจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ต้องถูกพิจารณาให้ออก แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้สึกเหมือนถูกต่อยจนมึนไปหมด น้ำตาเริ่มไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว…แล้วจากนี้ผมกับครอบครัวจะทำอย่างไรต่อไป…

นาทีนั้นในหัวของผมมีเพียงภาพภรรยากับลูกทั้งสองคน ผมบอกตัวเองว่าเราจะล้มไม่ได้…ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่หนักหนาสักเพียงใด ปัญหาทุกอย่างเหมือนน้ำที่เต็มจนล้นออกมานอกแก้วแล้ว ความท้อแท้ที่ตามมาจึงไม่อาจทำอะไรผมได้อีกนาทีนี้มีแต่ต้องสู้ตายเท่านั้น

“จะมีอะไรเข้ามาอีก ก็ดาหน้าเข้ามาเลย กูไม่กลัว ล้มได้ ก็ลุกได้…”

หลังจากนั้นผมค่อย ๆ รวบรวมสติเพื่อให้เกิดปัญญาหาหนทางแก้ปัญหาตรงหน้าให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายการรักษา หรือการสร้างกำลังใจให้ทั้งคุณนุ่นและตัวผมเอง

โชคดีที่ผมได้รับกำลังใจมากมายจากแฟนเพจ “แม่นุ่น” ที่ผมเปิดขึ้นเพื่อเขียนบอกเล่าเรื่องราวการรักษาของภรรยา นอกจากข้อความจากคนไม่รู้จักจำนวนมากจะสร้างพลังใจและรอยยิ้มให้ผมในทุก ๆ วันแล้ว สิ่งที่ทุกคนมอบให้ผมและภรรยายังรวมถึงของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นบริจาครถเข็น ไปจนถึงการจัดกิจกรรมประมูลของเพื่อหาเงินช่วยเหลือในการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้ออกหนังสือ คุณแม่สู้มะเร็ง อีกด้วย

ที่ถือว่าค่อนข้างเกินความคาดหมายมาก ๆ ก็คือ การได้รับความช่วยเหลือด้านการรักษาอย่างเต็มที่

จาก คุณเหมียว ที่เป็นแฟนเพจ และ นายแพทย์ชินวัตร วิสุทธิแพทย์ สามีของเธอ ทั้งคู่ช่วยคิดหาหนทางรักษาคุณนุ่นมาโดยตลอด ส่วนคุณหมอก็ไม่คิดค่าตรวจเลย เรียกว่าตอนนี้เราแทบจะกลายเป็นญาติกันไปแล้ว

ทั้งหมดคือกำลังใจสูงสุดที่ทำให้ผมกับคุณนุ่นสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากมาได้ ซึ่งผมต้องขอขอบคุณทุก ๆ คน ทุก ๆ กำลังใจไว้ ณ ที่นี้ด้วย

คลิกเลข 4 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจคิดว่าผมช่างเป็นคนดีเหลือเกิน คุณนุ่นโชคดีมากที่มีผมเป็นสามี ซึ่งผมต้องขอขอบคุณสำหรับความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้น เพราะที่จริงผมก็เป็นผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่ไม่ได้ดีสุดยอดอะไร ผมเพียงแต่อยู่เคียงข้างคนที่ผมรักในยามที่เธอป่วยไข้เท่านั้น และผมมั่นใจว่าถ้าฝ่ายที่ป่วยเป็นผม คุณนุ่นก็จะทำอย่างนี้เหมือนกัน รวมถึงคนอื่น ๆ ที่หากคนรักต้องเผชิญกับโรคร้าย ก็คงต่อสู้สุดใจไม่ต่างกัน

ถึงวันนี้…การต่อสู้กับมะเร็งยังไม่สิ้นสุดแต่อาการของคุณนุ่นก็ถือว่าอยู่ในช่วงที่น่าพอใจ เราเริ่มกลับมาทะเลาะกันได้เหมือนเดิมความหวังที่จะเห็นภรรยาสุดที่รักกลับมาหายดียังคงมีอยู่เต็มร้อย…อย่างน้อยผมก็คิดว่าเรามาถูกทางแล้ว

ถ้าคุณนุ่นหาย แฟนเพจและคนอื่น ๆ จะได้มีแนวทางในการต่อสู้กับโรคร้าย

แต่ถ้าไม่…คนอื่น ๆ ก็จะได้บทเรียนจากเรื่องราวของเธอ

อนาคต…แม้ไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะทำทุก ๆ วันให้ดีได้ และหากต้องพบกับโชคร้าย ก็ต้องพยายามแก้ไขกันไปให้ดีที่สุด

ขอเพียงเชื่อมั่นว่า…สักวัน บำเหน็จแห่งความพยายามย่อมส่งผลอย่างแน่นอน


ข้อคิดจากระอาจารย์ ดร.นิตินัยธีรวังโสวัดป่าดอนหม้อทองจังหวัดบึงกาฬ

“เรื่องของคุณตุลย์กับคุณนุ่น เป็นเรื่องราวของรักแท้ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาในรักอย่างมีเหตุผล เมื่อคนสองคนมีความรักที่บริสุทธิ์ มีแต่ความเมตตาต่อกันแล้ว ย่อมได้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ คุณตุลย์เป็นคนที่มีความอดทน เพียรพยายามในทางที่ชอบ เหนือสิ่งอื่นใดคือ มีสติและมีภาวะของผู้นำ ทำให้ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายไปได้ เพราะสติจะมาคู่กับปัญญาเสมอ

 “การพลัดพรากจากกัน ไม่ว่าจากเป็นหรือตายย่อมเป็นทุกข์ แต่ไม่ว่าจะสุขก็ดีทุกข์ก็ดี ล้วนแล้วแต่ไม่แน่นอน เราจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์เหล่านั้น เพียงแค่รู้ว่า เมื่อกำลังเผชิญกับอารมณ์ทุกข์หรือสุข ก็ควรละเสีย ด้วยการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น 

“เราต้องมี ‘สติสัมปชัญญะ’ เพื่อให้เกิดปัญญาพิจารณาว่า การพลัดพรากเป็นเรื่องของธรรมชาติ และความตายเป็นหลักธรรมอันสูงสุด เราจึงควรเร่งทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อที่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปแล้ว เราจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง”

 เรื่อง ตุลย์ เรียบเรียง นิทาน สรรพสิริ ภาพ วรวุฒิ วิชาธร สไตลิสต์ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด


หากใครมีเรื่องราวชีวิตจริงที่อยากแบ่งปัน สามารถส่งเรื่องเข้ามาได้ที่อีเมล therranuch_pa@amarin.co.th

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.