เกลียดหนี้

True Story : ชีวิตดิ้นรนของคนเกลียดหนี้

ชีวิตดิ้นรนของคน เกลียดหนี้

ภาพจำของผมในวัยเด็กที่มีต่อแม่ ผมเห็นท่านทำงานตัวเป็นเกลียว ลำบากสารพัดเพราะภาระหนี้ ก้อนโต ผมจึง เกลียดหนี้ และตั้งสัจจะกับตัวเองเลยว่า ชีวิตนี้ต่อให้ผมจนหรือลำบากแค่ไหน ผมจะไม่ยืมเงินใครเพื่อก่อหนี้เด็ดขาด

ครอบครัวของผมมี 4 คน คุณพ่อ คุณแม่ ผม และน้องสาว ครอบครัวของเรามีความเป็นอยู่ไม่สุขสบายนัก เคยกู้ยืมเงินนอกระบบ และแม่ก็ต้องเร่งหาเงินใช้คืน ซึ่งกว่าจะใช้หนี้หมดก็สาหัสพอสมควร พอหนี้หมดไปสักพัก แม่อยากให้ทุกคนอยู่อย่างสุขสบายขึ้น เพราะบ้านของเราเป็นโกดังที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากอาม่า ไม่มีห้องอะไรเป็นสัดส่วน แม่จึงกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาต่อเติมทำให้ที่อยู่อาศัยกลายเป็นบ้านที่น่าอยู่มากขึ้น มีการกั้นห้องเพื่อความเป็นส่วนตัว ปูฝ้า ปูกระเบื้องให้สวยงาม แต่เมื่อกู้เงินมาแล้วถึงเวลาต้องใช้คืนธนาคาร แม่มีเงินไม่พอส่ง ในที่สุดก็ต้องทำงานเพิ่ม

ตอนนั้นผมอายุ 8 ขวบ เห็นแม่พยายามทำงานทุกอย่างเพื่อที่จะหาเงินมาใช้หนี้ แม่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อเตรียมของสำหรับไปขายโจ๊ก โดยมีพ่อไปขายด้วย เริ่มขายตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 10 โมง การขายโจ๊กแต่ละครั้ง เวลาคนโจ๊กในหม้อ โจ๊กร้อนๆ ก็จะกระเด็นโดนแขนแม่พองไปหมด พอขายเสร็จพ่อจะพักผ่อน ส่วนแม่จะรับปักชุดนักเรียนต้องเพ่งจนปวดตา อีกทั้งยังขายประกัน ตกเย็นต้องออกไปขายผัดไท แล้ววันพระก็จะร้อยมาลัยให้ผมไปเคาะประตูขายตามบ้านเรือนในละแวกนั้น ผมเห็นแม่มีวงจรชีวิตอันเหน็ดเหนื่อยเพื่อหาเงินใช้หนี้ ผมบอกตัวเองทันทีว่า

 

“ต่อให้ต้องอดแค่ไหน หรือลำบากอย่างไร เราจะไม่มีวันยืมเงินใครให้เป็นหนี้เด็ดขาด”

 

เมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัย ผมสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านปทุมธานี ผมตั้งใจช่วยแม่ประหยัดให้ถึงที่สุด เดือนหนึ่งแม่จะส่งเงินให้ผมห้าพันบาท ในเงินจำนวนนี้รวมค่าหอพักแล้วสองพันบาท ผมมีเงินเหลือใช้อยู่สามพันบาท ซึ่งเมื่อต้องซื้ออุปกรณ์การเรียน ซื้อหนังสือ เงินเริ่มไม่พอใช้ บางเดือนถึงกับไม่มีเงินกินข้าว แต่ก็ไม่อยากรบกวนเงินแม่ ผมจึงทำอาหารกินเองแบบทำได้เท่าที่มี คือเอาข้าวมาต้มใส่น้ำเยอะๆ ทำเป็นข้าวต้ม แล้วก็ไปเก็บผักบุ้งที่อยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย เอามาต้มใส่น้ำปลา ผมกินแค่นี้ก็อยู่ได้แล้ว

 

แบบจำลอง

 

พอเรียนมหาวิทยาลัยไปสักพัก ผมเริ่มมีสังคม ต้องไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง ค่าเดินทางก็เพิ่มขึ้นมาอีก ผมจึงหาเงินเพิ่มโดยไปเป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารช่วงกลางคืน และรับจ้างวาดภาพในเวลาว่าง จนในที่สุดผมสามารถเรียนจบมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ

ผมโชคดีที่เรียนจบแล้วได้งานทำเลย เป็นโรงพิมพ์ที่อยู่ละแวกบ้าน หน้าที่ของผมคือ ออกแบบสิ่งพิมพ์ ได้เงินเดือนหกพันบาท ผมไม่ต้องเสียค่าเช่าหอพักเพราะอยู่บ้าน ผมนำเงินเดือนที่ได้แบ่งให้แม่ และเริ่มมีเงินเก็บ ทำงานที่นี่จนอิ่มตัว จึงคิดไปทำงานที่กรุงเทพฯ

พอตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ เพื่อนแนะนำให้มาอยู่ที่ปทุมธานี สิ่งของที่นำติดตัวมาด้วยมีเพียง จักรยาน หม้อหุงข้าว พัดลม และเสื้อผ้า ในห้องพักไม่มีที่นอนและหมอน ทั้งห้องมีแค่ถุงใส่เสื้อผ้าและผ้าห่มบางๆ เท่านั้น คืนแรกของการนอน ผมเอาเสื้อผ้ามาหนุนหัวแทนหมอน ทำงานไปได้สองเดือน ผมไม่ผ่านการทดลองงาน หลังจากนั้นครึ่งเดือนแรก ผมกลายเป็นคนว่างงาน ระหว่างนั้นผมสมัครงานไว้หลายที่ ที่ไหนเรียกสัมภาษณ์ก็ไปหมด เงินของผมเริ่มร่อยหรอ เพราะหมดไปกับค่าเดินทาง เนื่องจากผมนั่งรถเมล์ในเมืองไม่เป็น ต้องนั่งแท็กซี่ตลอด แต่สุดท้ายผมก็ได้งานย่านลาดพร้าวในที่สุด

ผมต้องย้ายออกจากหอพักเดิม แล้วไปหาหอพักใหม่ที่อยู่ละแวกเดียวกับที่ทำงาน คิดว่าจะปั่นจักรยานไปทำงาน ตอนนั้นเป็นช่วงครึ่งเดือนหลัง ผมเหลือเงินทั้งหมดห้าพันบาท ต้องจ่ายค่ามัดจำหอใหม่ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทำให้ผมเหลือเงินใช้เพียงหนึ่งพันบาทเท่านั้น

โจทย์ชีวิตของผมตอนนั้นคือ ผมต้องเริ่มงานในทันที และผมจะอยู่ในกรุงเทพฯ อย่างไรในเวลา 15 วัน กับเงินเพียงหนึ่งพันบาท โดยที่ไม่รบกวนเงินแม่

 

 

แบบจำลอง

 

ผมเริ่มซื้อข้าวสารยี่ห้อที่ถูกที่สุดเอาไว้หุงกิน จากนั้นก็ซื้อน้ำปลาขวดเล็กๆ ไข่ ซึ่งใช้กินทีละครึ่งฟอง และปลากระป๋อง ส่วนน้ำดื่มกดจากตู้น้ำที่หอได้

เริ่มงานได้ 2 วัน ผมเห็นว่าที่ทำงานใหม่จะมีวัฒนธรรมการกินข้าวกลางวันร่วมกัน กติกาก็คือ หากใครลืมนำกับข้าวมาจะต้องไปล้างจานให้กับทุกคน ผมจึงไปคุยกับพี่ๆ ว่าผมไม่ค่อยมีเงิน จะขอล้างจานให้กับทุกคนแลกกับให้ผมได้กินข้าวของพวกพี่ๆ ซึ่งทุกคนตกลง แต่ถึงแม้ผมจะมีข้าวกลางวันกินฟรี ผมก็ยังมีค่าใช้จ่าย เช่น ยาแก้ภูมิแพ้ และอื่นๆ จนเงินเหลือหลักร้อย

ผมหางานเสริมโดยการไปเป็นเด็กโบกรถให้ร้านอาหารที่อยู่ในซอยหอพัก ทำงานโบกรถได้ไม่กี่วันเด็กเสิร์ฟในร้านลาออก ผมจึงได้ไปเป็นเด็กเสิร์ฟทำงานตอนกลางคืน แล้วก็อาศัยกินข้าวเหลือจากทางร้านเป็นการประหยัดค่าอาหารเย็น แต่พอเจ้าของร้านแจ้งว่า ค่าตอบแทนของเด็กเสิร์ฟจะได้สิ้นเดือน ทำให้จากที่ผมคิดว่าจะได้เงินรายวันมาประทังชีวิตจนถึงสิ้นเดือน ผมเริ่มคิดหนักแต่ก็ยังทำงานอยู่ สุดท้ายผมหารายได้เสริมโดยการเก็บขวดจากคนในหอพักและปั่นจักรยานเก็บขวดคนในซอยนำไปขาย

วันหนึ่งผมคิดถึงแม่ จึงไปโทรศัพท์ที่ตู้หยอดเหรียญ ปรากฏว่าหยอดไปแล้วเหรียญค้าง จึงนำเศษกระดาษที่อยู่บริเวณนั้นมาพับให้มีปลายแหลมแล้วแหย่ลงไปในช่องหยอดเหรียญ อยู่ๆ เงินไหลลงมาประมาณหกสิบบาท เพราะเหรียญของคนอื่นๆ ที่มาโทรศัพท์ก่อนหน้าผมก็ค้างเช่นกัน ผมเกิดความคิดว่า นี่ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยหาเงินให้กับผมได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าตู้โทรศัพท์เสีย ทุกเย็นก่อนที่จะไปทำงานที่ร้านอาหาร ผมจะต้องไปที่ตู้โทรศัพท์เพื่อแคะเหรียญเหล่านี้ เมื่อรวมค่าขายขวดและเงินจากเหรียญในตู้โทรศัพท์ ทำให้ในที่สุดผมก็สามารถนำพาชีวิตตัวเองให้ไปถึงสิ้นเดือนได้สำเร็จ

วันที่เงินเดือนจากที่ทำงานประจำและเงินเดือนจากการเป็นเด็กเสิร์ฟออก เป็นวันแรกที่ผมได้กินอาหารดีๆ ตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ ผมให้รางวัลตัวเองโดยการซื้อข้าวมันไก่ในซอยจานละสี่สิบบาท มันเป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยกินมา

เนื่องจากชีวิตผ่านวิกฤตทางการเงินมาบ่อย ทำให้ผมมีวินัยในการใช้เงินมาก แม้จะมีเงินเดือนแล้วแต่ของไม่จำเป็น ผมจะไม่ซื้อเด็ดขาด นอกจากนี้ผมยังคงทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟควบคู่ไปกับงานประจำอยู่เสมอ เพียงแค่เลิกเก็บขวดขาย และเลิกไปแคะเหรียญที่ตู้โทรศัพท์ ผมเริ่มมีเงินเก็บ และสามารถส่งเงินไปให้แม่ พร้อมกับช่วยค่าเทอมของน้องสาวได้

ระหว่างนั้นผมมีแฟนอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิด พอทำงานที่กรุงเทพฯ ได้ 1 ปี แฟนผมซึ่งทำธุรกิจเปิดร้านนมโทร.มาถามผมว่า

 

แบบจำลอง

“ตอนนี้ธุรกิจร้านนมของเราไปได้ดีมากเลย เธอมาทำงานกับเราไหม”

 

ผมตอบตกลงไปทำงานด้วย และเมื่อไปทำงานกับเธอจริงๆ ก็เป็นดังที่เธอบอกไว้ ร้านนมขายดีมากจริงๆ อาจจะเพราะทำเลดีอยู่ใกล้โรงเรียน จึงมีคนมาอุดหนุนเยอะ วันหนึ่งขายได้ห้าพันบาท แต่พอเริ่มขายไปได้พักใหญ่ คนเลิกเห่อร้านใหม่ ร้านเราขายได้น้อยลงจนถึงกับขายไม่ได้เลย เราเริ่มดึงเงินเก็บที่มีร่วมกันมาจ่ายค่าเช่าร้าน ค่ากินอยู่ สถานการณ์เริ่มวิกฤตลงเรื่อยๆ จนผมต้องนำเงินเก็บส่วนตัวมาช่วยจ่ายค่าเช่าร้าน ผมเริ่มทำงานอย่างอื่นเพิ่ม คือรับจ้างขยายรูป ทำกรอบรูป แต่แม้จะทำงานเสริมเท่าไร ก็ไม่พอกับร้านที่ขาดทุนลงไปทุกวันๆ ผมกับแฟนต้องประหยัดกันสุดชีวิต กินข้าวคลุกปลาทู ซึ่งปลาทูก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่งตัวเท่านั้น

สุดท้ายพอกิจการไปไม่รอดแน่แล้ว เราสองคนจึงปิดกิจการ แฟนผมกลับไปอยู่ที่บ้าน ส่วนผมกลับไปหางานที่กรุงเทพฯ

หลังจากตัดสินใจกลับมาอยู่กรุงเทพฯ พอที่ทำงานเก่ารู้ว่าผมกลับมา เขาเรียกตัวกลับไปทำงานต่อทันที และพอทำงานไปได้สักพักใหญ่ ผมก็มีเหตุให้เลิกกับแฟนในที่สุด

ผมยังคงทำงานและเก็บเงินส่งให้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ แต่แล้ววันหนึ่งที่บริษัทเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และพนักงานส่วนมากไม่พอใจกับนโยบายของผู้บริหารคนใหม่จึงทยอยกันลาออก พอผมเห็นพี่ๆ ที่สนิทลาออกกันหมด ผมคิดว่าอยู่ต่อไปคงไม่มีความสุข เพราะเพื่อนร่วมงานที่ดีกับผมไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว และผมก็อยากไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิต จึงตัดสินใจลาออก และในเวลาไม่นานผมก็ได้งานที่ใหม่ เจอสังคมที่ดี และเป็นงานที่มีความมั่นคง

ผมภูมิใจที่ทุกวันนี้ผมรักษาสัจจะที่ให้ไว้กับตัวเองได้สำเร็จ และผมก็พิสูจน์แล้วว่า การไม่มีหนี้นั้น ช่วงแรกผมอาจจะลำบากที่ต้องใช้ความอดทนในการดำรงชีวิต แต่ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิต และไร้สิ่งกวนใจทางการเงินอย่างแท้จริง


ความคิดเห็นจากพระดร.นิตินัย อุดมกัน

ประสบการณ์ชีวิตนั้นเป็นครูชั้นเยี่ยม ความอดทน ขยันทำมาหากินในอาชีพสุจริตแบบบิดามารดา จัดเป็นสัมมาอาชีพ นำมาเป็นเครื่องดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาเลือกที่จะลำบาก แต่มีความสุข สบายใจ ไม่มีหนี้ แต่ทั้งนี้ในเรื่องที่เขาไปแคะเหรียญที่ตู้โทรศัพท์ ขณะที่แคะเหรียญก็เกรงกลัวว่าใครจะมาเห็นและแจ้งตำรวจจับ ถือว่าเป็นการทำผิดศีลข้อ 2 ว่าด้วยเรื่องของการลักขโมย เป็นบาป ไม่ควรทำ

อนึ่งการอยู่อย่างพอเพียงย่อมนำความสงบร่มเย็นมาสู่ชีวิตเราอย่างไม่ต้องสงสัย ชีวิตคนเราต้องกล้าที่จะยอมรับความจริง ไม่อายที่จะพูดความจริง คนเราทุกคนถ้ากล้าพูดโกหกแล้ว บาปกรรมอย่างอื่นก็ย่อมกล้าทำแน่นอน และที่สำคัญสัจจะที่ได้ลั่นเอ่ยไว้สำคัญมาก บุคคลคนๆ นี้ ผู้ที่มีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น เป็นบุคคลที่น่ายกย่องและหาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน

 

ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 208

เรื่อง: วิทยา เรียบเรียง: อุรัชษฎา ขุนขำ

ภาพ: สรยุทธ พุ่มภักดี

สไตลิสต์: ณัฏฐิตา เกษตระชนม์

แบบ: ประเมศฐ


บทความน่าสนใจ

True Story : ชีวิตนี้… ผมติดหนี้ ผ้าเหลือง

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ คำสอนดีๆ ที่ลูกๆ ทุกคนควรอ่าน – คำสอนหลวงพ่อจรัญ

แหม่ม-สุริวิภา กุลตังวัฒนา สู้ชีวิตปลดหนี้ 50 ล้านสำเร็จ เพราะมีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้าง 

ลดความตระหนี่ด้วยการ ให้ทาน

เปิดชีวิต เฮียใช้ กรงกรรม เพ็ชร ฐกฤต ตวันพงค์ ครั้งหนึ่งผมเคยเป็น “แบดบอย”

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.