ตราบาปของความรัก

เรื่องจริงของหญิงที่มี ” ตราบาปของความรัก “

ตราบาปของความรัก

เขาเดินเข้ามาในชีวิต ทำให้ฉันรู้จัก ความรัก ฝาก ตราบาปของความรัก เอาไว้ และจากฉันไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

ฉันเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่รักและดูแลฉันเป็นอย่างดี ทั้งยังส่งเสียจนฉันเรียนจบมหาวิทยาลัย หลังจากนั้น ฉันก็ทำงานในกรุงเทพฯ จนกระทั่งแม่ล้มป่วยลง ฉันจึงเดินทางกลับบ้านเกิด เพื่อมาอยู่ดูแลบุพการีตามหน้าที่ลูกพึงกระทำ

ฉันกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บ้าน แล้วพรหมลิขิตก็นำพาให้ฉันได้เจอกับเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เรากลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน จากนั้นต้นรักก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ เราคบหาดูใจกันได้ 4 ปี ดอกรักก็ผลิบานเต็มที่จนเกิดเป็นงานวิวาห์

ฉันและแฟนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมาก่อนแต่งงาน แต่ทุกครั้ง ฉันป้องกันตัวเองเสมอ เพราะกลัวว่าจะทำให้พ่อแม่อับอาย และเสียใจที่ฉันชิงสุกก่อนห่าม หลังจากแต่งงาน เราทั้งคู่ก็เริ่มปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะอยากมีลูก ผนวกกับผลตรวจเลือดที่การันตีแล้วว่าเราทั้งคู่ปลอดจากโรคร้ายที่จะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์

จากนั้น ฉันก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกชายที่มาเติมเต็มชีวิตของเราทั้งคู่ แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ หลังจากฉันคลอดลูกได้เพียงไม่กี่เดือน สามีก็เริ่มมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หลังจากตรวจดูอาการ หมอก็บอกว่าสามีป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

นับเป็นข่าวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อรู้ว่าคนรักกำลังจะถูกความตายพรากไป อาการของเขาทรุดหนักลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย หลังจากต่อสู้กับโรคร้ายได้เพียงสามเดือน สามีของฉันก็เสียชีวิต แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้บอกความจริงที่เปลี่ยนชีวิตของฉันไปตลอดกาล ชายที่ฉันหวังจะฝากชีวิตไว้ยอมรับสารภาพว่าเขาติดเชื้อ HIV จากแฟนเก่า เขาทราบว่าตัวเองติดเชื้อตั้งแต่ก่อนแต่งงานกับฉันเสียอีก หลังจากพูดความจริง สามีของฉันก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบ เหลือเพียงแต่ฉันที่ยังอยู่ในสภาพงงงัน หูพล่าตาเบลอ ไม่อยากรับรู้เรื่องราวใดๆ

คลิกเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

หลังจากทำพิธีศพของสามีเรียบร้อย ฉันก็กลับมานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ พร้อมกับข้อสงสัยมากมาย สามีของฉันพูดจริงหรือ ถ้าเช่นนั้น ทำไมตอนที่ตรวจเลือดถึงไม่พบเชื้อ กระทั่งตอนที่ตรวจเลือดลูกในท้อง ทุกอย่างก็เป็นปรกติ ไม่พบเชื้อใดๆ ทั้งแม่และเด็ก

ฉันตัดสินใจไปตรวจเลือดอีกครั้ง ทั้งที่หวาดกลัวผลลัพธ์อยู่ไม่น้อย แล้วก็จริงดังคาด ฉันติดเชื้อ HIV จากสามี

ทันทีที่ทราบผลจากหมอ โลกทั้งใบของฉันก็พังทลาย สามีของฉันจากไปเพียงร่างกาย แต่ได้ทิ้งตราบาปที่จะติดตัวฉันไปตลอดกาล ขณะนั้นความรู้สึกมากมาย ใจหนึ่งก็รู้สึกสิ้นหวังหมดหนทางในชีวิต เพราะทราบดีว่าโรคนี้เป็นโรคที่สังคมไม่ยอมรับ อีกใจหนึ่งก็โกรธและเสียใจที่สามีไม่เคยบอกความจริงข้อนี้ให้รู้เลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นฉันอยากตายไปให้พ้นๆ เพราะทำใจไม่ได้ที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่น่ารังเกียจเช่นนี้

โชคยังดีที่พ่อและแม่เข้าใจ และคอยให้กำลังใจฉันเสมอ แม่เตือนสติให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อลูกชายที่เพิ่งลืมตามาดูโลกได้ไม่นาน แม่บอกว่า หากฉันเป็นอะไรไปอีกคน ลูกจะอยู่ได้อย่างไร เพราะเขาไม่มีพ่อคอยดูแลแล้ว จุดนี้เองที่ทำให้ฉันหันกลับมาดูแลตัวเอง ทำใจยอมรับความจริง และใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้อย่างคนปกติทั่วไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ทั้งๆ ที่ฉันดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่วายประสบเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเกือบเอาชีวิตไม่รอด

หลังจากสามีเสียชีวิตไปได้ประมาณ 6 ปี ฉันไปผ่าตัดฟันคุด การผ่าตัดเกิดผิดพลาด ทำให้แผลติดเชื้อ และบวมขึ้นมาจนกินอาหารไม่ได้ ผนวกกับร่างกายที่ไม่มีภูมิคุ้มกันอยู่แล้วจึงทำให้อาการทรุดหนักอย่างรวดเร็ว ฉันไปหาหมอหลายโรงพยาบาล แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น กระทั่งมาถึงโรงพยาบาลสุดท้าย อาการของฉันก็รุนแรงจนพ่อและแม่ถอดใจ และคิดว่าฉันคงต้องเสียชีวิตแน่ๆ เพราะน้ำหนักฉันลดลงจากห้าสิบกว่ากิโล เหลือเพียงสามสิบสองกิโลภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ จากคนที่ดูปกติธรรมดา เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ฉันต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดถึง 1 สัปดาห์ จากนั้นก็ย้ายมารักษาในห้องผู้ป่วยธรรมดาเป็นเวลากว่าครึ่งปี

หลังจากผ่านเหตุการณ์เฉียดตาย ฉันก็กลับมาดูแลตัวเองอย่างจริงจัง เริ่มเข้มงวดเรื่องอาหารการกิน และพักผ่อนให้ตรงเวลา ทั้งยังเริ่มกินยาต้านเชื้อไวรัส เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นซ้ำอีก เพราะฉันตระหนักได้แล้วว่าชีวิตของฉันยังต้องดำเนินต่อไป เพื่อลูก และพ่อกับแม่ที่เฝ้าทะนุถนอนเลี้ยงดูฉันจนเติบใหญ่

แม้ว่าฉันจะผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมานับสิบปีแล้ว แต่ทุกวันนี้ เวลาได้ยินคำว่า HIV หรือเอดส์ ฉันยังรู้สึกเจ็บปวดเสมอ ราวกับมีมีดนับร้อยนับพันเล่มมาแทงที่หัวใจ ฉันเสียใจที่โดนคนที่ฉันรักที่สุดคนหนึ่งในชีวิตหลอกลวง แต่กระนั้นฉันก็จำต้องทำใจยอมรับว่าคงเป็นเพราะบาปกรรมที่ฉันเคยกระทำในอดีต ส่งผลให้ฉันติดโรคร้ายจากชายที่ฉันไว้ใจ

ปัจจุบัน ฉันประกอบธุรกิจส่วนตัวที่ทำให้ฉันได้มีโอกาสใกล้ชิดกับธรรมชาติ และได้ใช้เวลาอยู่กับตนเองมากขึ้น ฉันดำเนินชีวิตตามปกติโดยมีธรรมะอยู่ในทุกจังหวะชีวิต ฉันมักสวดมนต์ และปฏิบัติธรรมตามโอกาส พร้อมกับใช้ชีวิตอย่างมีสติในทุกย่างก้าว นอกจากนั้น ฉันยังสอนลูกชายวัย 13 ปีให้รู้จักให้เกียรติผู้หญิง และรู้จักป้องกันทั้งตนเองและผู้อื่น หากคิดจะรักหรือใช้ชีวิตร่วมกับใครแล้วก็ต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนในทุกๆ ด้าน เพราะไม่อยากให้เขาต้องมาโชคร้ายเหมือนกับฉัน

แม้ว่าฉันไม่สามารถกำจัดตราบาปนี้ไปจากชีวิตได้ แต่ตอนนี้ฉันได้เรียนรู้แล้วว่าฉันจะต้องเข้มแข็ง ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และทำทุกๆ วันให้มีคุณค่า ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

คลิกเลข 3 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

แง่คิดจากพระครูธรรมธร ดร.สาคร สุวฑฺฒโน

ความรัก คือ สิ่งสวยงาม แต่ความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่ารัก สวยงามยิ่งกว่า คุณโยมต้องพบเจอกับเรื่องร้ายที่น่าสะเทือนใจ เพราะความไม่ซื่อสัตย์ของคนที่คุณโยมรัก แต่ในความโชคร้ายก็ยังคงมีเรื่องดีๆ ซ่อนแฝงอยู่ เพราะเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้นทำให้คุณโยมได้พบที่คุณโยมสามารถใช้เตือนตน และเป็นบทเรียนให้กับลูกและคนรอบข้างได้ เช่นนี้ถือว่าเป็นทานอันสูงส่ง

มนุษย์ทุกคนล้วนมีอดีต แต่อดีตที่ไม่ดีก็อย่าไปยึดติด ควรปล่อยให้ลง ปลงให้เป็น แล้วจะเย็นใจ เพราะการยึดติดกับอดีต ผู้ที่ยึดติดกับอดีตมักไม่ประสบความสำเร็จและไม่มีความสุขในชีวิตที่เหลืออยู่ ดังนั้นขอให้คุณโยมทิ้งความหลัง ตั้งต้นใหม่ แล้วก้าวไปข้างหน้า ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมให้มากๆ อยู่กับปัจจุบัน หมั่นเจริญมรณานุสติอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราได้ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่าน สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

การเจริญมรณานุสติ หมายถึง การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ความตายเป็นของธรรมดา สัตว์และมนุษย์เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าจึงให้ความสำคัญกับการเจริญมรณานุสติอยู่เป็นนิจ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์ วันหนึ่งเธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์กราบทูลตอบว่า “นึกถึงวันละเจ็ดครั้ง พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสว่า “ยังน้อยไปอานนท์ เราตถาคตระลึก นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก” พระพุทธเจ้าสอนให้ระลึกถึงความตายเพราะธรรมดาของปุถุชนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ว่าความตายเป็นของธรรมดาก็จริง แต่เมื่อความตายจะเข้ามาถึงตนหรือผู้เป็นที่รักก็มักดิ้นรน เอะอะโววาย พยายามทุกทางที่จะผลักความตายให้ไกลตัว ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการดิ้นรนฝืนกฎของธรรมชาติ ไม่มีทางทำได้สำเร็จ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พิจารณาตามความเป็นจริงว่า “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย “ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา ไม่มีใครจะหลีกพ้นความตายได้”

ดังนั้นการที่คุณโยมปฏิบัติธรรมใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ อยู่กับปัจจุบัน รู้เท่าทันธรรมดาของชีวิตถือว่ามาถูกทางแล้ว เพียงเท่านี้ก็ทำให้จิตใจสงบลงได้ เมื่อจิตสงบกายก็จะสงบ คุณโยมก็จะปล่อยลง ปลงเป็น เย็นทั้งกายและใจได้

เรื่อง วัลลี เรียบเรียง อิศรา ราชตราชู

ภาพโดย สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์
Secret คือแรงบันดาลใจ
สั่งซื้อนิตยสารหรือสมัครสมาชิก Secret ได้ที่ 0-2423-9889
ทาง Naiin.com : https://www.naiin.com/magazines/title/SC/

 

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.