เวรกรรมไม่รอช้า

เคยเกือบตายจึงอยากรวยเร็ว แต่ เวรกรรมไม่รอช้า เช่นกัน

ผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นชาวพุทธแค่ตามทะเบียนบ้านเท่านั้น ไม่เคยเข้าถึงธรรมะจริงๆ สักครั้ง จนวันที่เวรกรรมไล่ล่าจึงได้รู้จักธรรมะอย่างแท้จริง…

ผมมีน้องชาย 1 คน คุณพ่อคุณแม่ทำอาชีพค้าขาย ช่วงเรียนมัธยมปลายครอบครัวประสบปัญหาทางการเงิน คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถส่งเสียทั้งผมและน้องให้เรียนมหาวิทยาลัยพร้อมกันได้ พอจบ ม.6 ผมจึงเสียสละไม่เรียนมหาวิทยาลัย ให้น้องเรียนแทน ส่วนผมหางานทำเพื่อนำรายได้มาจุนเจือครอบครัวและเก็บเงินเพื่อส่งตัวเองเรียนปริญญาตรีในอนาคต

งานแรกของผมคือการแจกใบปลิวและทำงานแจกแบบสอบถามงานวิจัย จากเด็กคนหนึ่งที่มีหน้าที่แค่เรียนหนังสืออย่างเดียวต้องมาทำงานตากแดดตากลมตลอดวัน ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยกันถ้วนหน้า ผมรู้สึกว่าชีวิตผมลำบากกว่าคนอื่น ผมเหนื่อย และความเหนื่อยทำให้ผมต้องสู้ เพราะผมอยากมีชีวิตที่สุขสบายกว่านี้ ดังนั้นถ้ามีโอกาสได้ทำงาน ผมจะไม่ทิ้งโอกาสนั้นเด็ดขาด

วันหนึ่งผมไปแจกแบบสอบถามที่บ้านนายพลท่านหนึ่ง เจอลูกสาวนายพล เธอให้ผมเข้ามาในบ้าน เลี้ยงน้ำ เลี้ยงขนมอย่างดีเธอถามผมว่าทำไมต้องมาเดินตากแดดแบบนี้อยากเปลี่ยนงานไหม เดี๋ยวจะฝากงานให้กับบริษัทแห่งหนึ่งที่เธอทำอยู่ ผมตอบตกลงทันทีเพราะถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่อาจทำให้ชีวิตผมก้าวไปข้างหน้า

ผมเริ่มงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ลูกสาวนายพลฝากให้ ช่วงแรกมีหน้าที่ยกลังกระดาษใส่รถเข็นไปยังเครื่องพิมพ์ โชคดีที่ผมเป็นคนสนใจทุกอย่างที่เป็นความรู้ โดยเฉพาะเรื่องคอมพิวเตอร์ ผมชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อ่านจนหมดห้องสมุดของบริษัท พออ่านหมดก็อยากอ่านหนังสือใหม่ ๆ เพิ่มเติม แต่ไม่มีเงินซื้อ จึงใช้วิธีเข้าไปอ่านในร้านหนังสือตามห้างสรรพสินค้าแต่อ่านได้ไม่จบเล่มเพราะกลัวพนักงานจะว่าจึงใช้วิธีจำว่าอ่านถึงหน้าไหนแล้วย้ายไปอ่านที่ร้านอื่นไปเรื่อย ๆ จนจบ หรือหากเจอใครที่ผมขอความรู้ได้ ผมก็จะถามทันที ทำให้ต่อมาผมสามารถซ่อมคอมพิวเตอร์ได้ ผมจึงรับจ้างซ่อมคอมพิวเตอร์นอกเวลางานเพื่อหารายได้อีกทางหนึ่ง

ผมทำงานที่บริษัทนี้จนได้เลื่อนตำแหน่งจากเด็กยกลังมาอยู่แผนกไอที ทำหน้าที่ดึงข้อมูลต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย แล้วความไม่แน่นอนของชีวิตก็มาเยือน เมื่อวันหนึ่งบริษัทประกาศยุบแผนกของผม มีคนต้องออกจากงาน 11 คน ผมเป็นหนึ่งในนั้น บริษัทให้เงินมาก้อนหนึ่ง ผมจึงนำไปทำธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ สมัยนั้นคิดค่าบริการ

ชั่วโมงละ 150 บาท ผมเปิดร้านย่านสีลม มีชาวต่างชาติมาใช้บริการค่อนข้างมาก จึงเป็นโอกาสดีที่ทำให้ผมได้รู้จักชาวต่างชาติหลาย ๆ คน

คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

หลังจากทำอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ไม่นาน ก็เริ่มมีคู่แข่งมาเปิดร้านให้เช่าอินเทอร์เน็ตราคาถูกกว่าแถมคอมพิวเตอร์ก็ใหม่กว่าผมเริ่มคิดไปทำธุรกิจอย่างอื่น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร

คืนหนึ่งผมกลับมาคอนโดเห็นสายไฟที่เสียบไว้ในห้องหลุดออกมากองอยู่บนพื้นและพื้นที่ผมยืนอยู่มีน้ำเจิ่งนองผมไม่ทันคิดจึงคว้าสายไฟที่อยู่ตรงพื้นเสียบปลั๊กทันที ผมโดนไฟช็อร์ต ตอนนั้นคิดว่าจะไม่รอดแล้ว โชคดีที่มีคนมาเจอและพาผมไปส่งโรงพยาบาลทัน

พอฟื้นขึ้นมา ผมรู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้เราแค่ปลายจมูก ตอนนั้นผมคิดทันทีที่ได้สติว่า

“คนเราทำไมตายง่ายจัง เราจะประมาทไม่ได้ ต้องทำอะไรก็ได้ให้รวยเร็วที่สุด ถ้าเรารวย เราก็จะมีความสุข ต้องรีบทำก่อนจะตายจริง ๆ”

ผมอยากรวยให้เร็วขึ้น จึงไม่สนใจว่าอาชีพที่ทำเป็นอาชีพที่สุจริตหรือไม่ ขอให้ได้เงินมาก็พอ ใครจะเดือดร้อนผมไม่สนใจทั้งนั้น

ผมเริ่มทำธุรกิจเปิดผับ บาร์ โดยร่วมหุ้นกับชาวต่างชาติที่เคยเป็นลูกค้าร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ จากนั้นก็ทำอีกอาชีพนั่นคือ รับซื้อของโจร ซึ่งเรียกกันว่าวงการของร้อน ใครอยากได้เงินเร็วจะไปขโมยของของคนอื่นมา แล้วเอามาขายในราคาถูก เช่น ขโมยของราคาหลายหมื่นมาขายหกพัน ส่วนผมจะนำของนั้นไปขายในราคาเต็ม ซึ่งได้กำไรมหาศาลและขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ขณะที่ธุรกิจรับซื้อขายของโจรมีแต่กำไรเข้ามา ธุรกิจผับ บาร์ของผมก็ต้องปิดตัวลงเพราะพิษเศรษฐกิจ ผมทำธุรกิจสีเทานี้ไปอีกสักพักจนคิดว่ากอบโกยมาได้พอสมควรแล้วจึงเลิกทำ และนำเงินมาเปิดบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่ มีพนักงาน 20 คน ทำไปสักพักก็เริ่มมีปัญหาเรื่องเงิน งานที่ลูกค้าสั่งพอทำเสร็จก็โดนยกเลิกอย่างไม่มีเหตุผล มีงานเข้ามาเยอะมาก แต่ลูกค้าไม่จ่ายเงิน เงินไม่เข้าบริษัทเลย สุดท้ายพนักงานลาออก เราก็ต้องปิดบริษัท ตอนนั้นผมคิดทันทีว่า ผลกรรมที่เคยรับซื้อของโจรกำลังเล่นงานผม ของที่เรารับซื้อเป็นของที่โดนขโมย เจ้าของเดือดร้อนทุกข์ใจอยู่นานเท่าไร เขาเดือดร้อนคนเดียวหรือเปล่า ลูกเมียเขาจะเดือดร้อนเพียงใดเราทำธุรกิจบนความทุกข์คนอื่น สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทำไว้ก็สะท้อนกลับมาหาเราในที่สุด

ช่วงที่ธุรกิจล้มไปไม่นาน มีเพื่อนคนหนึ่งมาพูดเรื่องธรรมะให้ผมฟัง เขาเล่าเรื่องกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ที่ท่านประสบอุบัติเหตุคอหัก แต่สามารถหายกลับมาใช้ชีวิตต่อได้ ตอนนั้นผมบอกเพื่อนคนนั้นว่า

“พระรูปนี้ต้องหลอกลวงแน่ ๆ คอหักแล้วจะมาติดใหม่ได้อย่างไร เอ็งโดนหลอกแล้ว งมงายมาก”

นอกจากจะคะนองปากว่าเพื่อนและพาดพิงถึงพระอย่างไม่เกรงบาปบุญคุณโทษแล้ว อีกหนึ่งการกระทำที่ไม่เกรงกลัวเวรกรรมเลยก็คือ ความเจ้าชู้ ผมทำผู้หญิงเสียใจหลายคน และทำให้พ่อแม่ของผู้หญิงพลอยทุกข์ใจไปด้วย

วันหนึ่งผมรักผู้หญิงคนหนึ่งเข้าจริง ๆ เธอคือภรรยาคนปัจจุบัน ผมเลิกเจ้าชู้และมีเพียงผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาเพียงคนเดียวเท่านั้น เราอยู่ด้วยกันตลอด ไม่เคยจะห่างกันแต่แล้วเธอก็ต้องไปทำงานต่างจังหวัดเป็นปีผมต้องอยู่คนเดียว ผมไม่เคยนอนคนเดียวมาก่อน ผมเหงาจับใจ บางวันไม่มีใครเลยไม่มีเพื่อนฝูง ไม่มีใครทั้งนั้น ผมไม่เคยเจอสภาวะแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ผมคิดว่านี่คงเป็นผลกรรมจากที่เคยเจ้าชู้ในอีกรูปแบบหนึ่งตามความเข้าใจของผม กรรมอาจไม่ให้ผลเหมือนกับในสิ่งที่เราทำ เมื่อผมเคยทำกรรมเรื่องความรัก ในที่สุดผมก็จะต้องเป็นทุกข์เพราะความรัก แม้เป็นคนละรูปแบบกับที่ผมเคยทำก็ตาม

ช่วงที่ผมกำลังฟุ้งซ่าน มีเพื่อนคนหนึ่งชอบวาดการ์ตูน เขาเห็นผมชอบไอที ชอบวิทยาศาสตร์ จึงชวนมาเขียนนิยายธรรมะที่ใช้วิทยาศาสตร์อธิบาย โดยเพื่อนเป็นผู้วาดภาพประกอบ ผมตอบตกลงเพราะอยากหาอะไรทำเพื่อลดความฟุ้งซ่านที่ต้องอยู่คนเดียว

ผมชอบทำงานตอนกลางคืน พอทำงานเยอะ ๆ ก็จะหลับไปเอง ไม่ต้องนอนคิดฟุ้งซ่านถึงความวังเวงที่ตัวเองเผชิญอยู่ คืนหนึ่งผมต้องเขียนนิยายอธิบายถึงสภาวะนิพพานผมไม่รู้ว่าคืออะไรเลยหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเจอประโยคที่ทำให้ผมสงสัยอย่างหนักว่า

“นิพพาน คือการตายก่อนตาย”

ผมพยายามนั่งคิดถึงความหมายของประโยคนั้น และไม่เข้าใจว่าตายก่อนตายคืออะไร ระหว่างนั้นผมเดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็เปิดไฟ แต่จู่ ๆ ไฟก็ดับลงมาเอง ช่วงเวลาที่ไฟติดแล้วก็ดับ ทำให้ผมเห็นสัจธรรมเรื่องของการเกิดดับ และผมเข้าใจว่า ชีวิตคนเรามีเกิดแล้วก็ต้องดับ แต่ก่อนจะดับ ให้เราตายเสียก่อนที่จะตายจริง ๆ ให้เราทำจิตให้เหมือนคนที่ตายแล้ว ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องไขว่คว้าอะไร เพราะคนตายแล้วไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ลาภ ยศ สรรเสริญเงินทอง กามราคะต่าง ๆ คนตายไม่สนใจแล้ว

ผมกลับไปที่คอมพิวเตอร์อีกครั้ง หาข้อมูลเกี่ยวกับธรรมะ คราวนี้อยากศึกษาอย่างจริงจัง ผมเข้าใจว่าการจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ต้องทำวิปัสสนาผมจึงค้นในอินเทอร์เน็ตและเห็นว่ามีสอนหลายสำนัก แต่ผมมาหยุดที่เว็บไซต์ของวัดอัมพวัน ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ผมอยากไปฝึกกับวัดแห่งนี้ โดยลืมไปว่าตัวเองเคยลบหลู่ท่านเอาไว้

เมื่อผมไปฝึกปฏิบัติที่วัดอัมพวัน ไม่ว่าพยายามฝึกอย่างไรก็ปฏิบัติผิดตลอด ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านสอน ผมเชื่อว่าคงเป็นผลกรรมจากที่ผมเคยลบหลู่ท่านนั่นเอง

หลังจากนั้นผมเจอกับพระอาจารย์อีกท่าน และได้เรียนวิธีปฏิบัติวิปัสสนากับท่าน ยิ่งปฏิบัติมากขึ้นก็ยิ่งได้เห็นสัจธรรมชีวิตมากขึ้น จึงตั้งใจว่า ผมจะไม่มีวันกลับไปในเส้นทางสีเทาแบบที่ผ่านมาอีก

คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

ผมกลับไปที่วัดอัมพวันอีกครั้งเพราะอยากไถ่บาปที่เคยลบหลู่หลวงพ่อจรัญเอาไว้แม้รู้ว่าบาปลบล้างกันไม่ได้ แต่ก็อยากทำอะไรดี ๆ บ้าง เนื่องจากผมเคยผ่านชีวิตด้านสีเทามาเยอะ ผมเห็นชีวิตมาแล้วทั้งด้านไม่ดีและด้านดี ผมจึงอาสาช่วยตอบปัญหาชีวิตที่มีคนส่งมาปรึกษาในเว็บไซต์ของวัด

นอกจากปัญหาชีวิตทางโลกแล้ว ผมเห็นว่าหลายคนที่อยู่กรุงเทพฯ อยากมาปฏิบัติธรรม แต่ไม่สะดวกเดินทางมาที่วัดอัมพวันจังหวัดสิงห์บุรี จึงนำเงินที่เหลืออยู่ในชีวิตจัดตั้งสถานปฏิบัติธรรมในกรุงเทพฯ เพื่อเป็นสะพานบุญพาคนเข้าสู่เส้นทางสายธรรม ผมคิดว่า ถ้ามีคนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตจากการปฏิบัติธรรมได้ เขาจะสร้างคุณประโยชน์กับบ้านเมืองได้เยอะมาก แค่นี้สำหรับผมก็คุ้มค่ามากแล้ว

มาถึงวันนี้ผมได้เรียนรู้จากบทเรียนของชีวิตแล้วว่า เวรกรรมมีจริง และธรรมะคือสิ่งเดียวที่จะนำพาให้ผมหลุดพ้นจากเวรกรรมทั้งหลายทั้งปวง ลูกค้าไม่จ่ายเงิน เงินไม่เข้าบริษัทเลย สุดท้ายพนักงานลาออกเราก็ต้องปิดบริษัทตอนนั้นผมคิดทันทีว่าผลกรรมที่เคยรับซื้อของโจรกำลังเล่นงานผม


ความคิดเห็นจากพระอาจารย์ชานนท์ชยนนฺโท

เจ้าอาวาสวัดป่าเจริญธรรมจังหวัดชลบุรี

หนทางที่จะเห็นพระนิพพานนั้นต้องทำความเห็นให้แจ้งในพระนิพพานจึงจะเข้ากระแสพระนิพพานได้ ต้องเห็นว่ากายกับใจที่เราอาศัยอยู่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน และหายสงสัยในกายใจปล่อยวางกายใจคืนสู่ความเป็นธรรมชาติ จิตนี้จะได้รับอิสระและอยู่เหนือกายใจ รอวันที่กายใจดับสลายจากโลกสมมุติ จิตดวงนี้จะเข้าสู่วิมุตติที่เราเรียกกันว่าพระนิพพานเพราะสิ่งที่มนุษย์และสัตว์หลงกันมากที่สุดก็คือกายใจ มีความเข้าใจว่ากายใจเป็นตัวตนของเขาเหล่านั้น

เราต้องมาศึกษาและเรียนรู้ว่ากายใจนี้รวมตัวมาจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม พิจารณาแยกเป็นส่วนๆ ว่ากายมีแค่ธาตุ 4  โดยแยกเป็น 2 กลุ่มหลักที่เห็นและจับต้องได้  คือ กลุ่มของธาตุดิน 20 ชนิด และกลุ่มของธาตุน้ำ 12 ชนิด รวมเป็น 32 ชนิด เรียกว่าอาการ 32 พิจารณากลุ่มของธาตุดิน เห็นรูปร่างลักษณะ สี และกลิ่น โดยยกเส้นผมขึ้นมาพิจารณา เห็นลักษณะเป็นเส้นๆ พิจารณาสีและกลิ่น

จากนั้นก็พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า มันสมอง ส่วนกลุ่มของธาตุน้ำก็พิจารณาลักษณะ สี และกลิ่นเช่นกัน เริ่มจากน้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ ไขมันข้น น้ำตา น้ำมันเหลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำปัสสาวะ เราจะได้ไม่หลงเขา  เห็นเขาเป็นเพียงสภาวะธาตุที่รวมตัวมาจากพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ซึ่งล้วนกำเนิดและโตมาจากดิน

ส่วนใจที่ประกอบด้วยความรู้สึก ความจำความคิด ความรู้ ก็มีได้เพราะอาศัยกาย พอกายเสื่อม สิ่งต่างๆ รวมถึงผู้รู้ผู้เข้าใจก็เสื่อมและดับไป แล้วเราอยู่ตรงไหน นี่หรือคือสิ่งที่เราหลงกัน เรามาจากสิ่งไม่มีมาอาศัยสิ่งที่มีอยู่ชั่วคราวแล้วก็กลับไปสู่ความไม่มี

เรื่อง ศักดิ์ชัย เรียบเรียง อุรัชษฎา ขุนขำ ภาพ วรวุฒิ วิชาธร สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ แบบ แวว

 

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.