รักสามเส้า

กับดัก ‘รักสามเส้า’ บทสรุปของคนปล่อยใจให้อยู่เหนือความถูกต้อง

คุณเชื่อเรื่องเวรกรรมหรือไม่เชื่อไหมว่าหากทำสิ่งใดไว้คุณย่อมได้รับผลแห่งการกระทำนั้น

ฉันเกิดในครอบครัวอบอุ่น พ่อแม่ส่งเสียให้เรียนในโรงเรียนดี ๆ ตั้งแต่ยังเล็ก ปูพื้นฐานอนาคตของฉันเอาไว้เป็นอย่างดี ฉันเป็นเด็กที่มุ่งมั่นด้านการเรียนและไม่สนใจเรื่องความรักเลย กระนั้นเมื่อฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัย โชคชะตาก็นำพาให้ได้รู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่ง แล้วเราก็ตกลงคบหาเป็นแฟนกัน รักสามเส้า

ผู้ชายคนนี้เป็นรักครั้งแรกของฉัน เขาเป็นคนดี คอยดูแลฉันตลอดเวลา และทำให้รู้ว่าการมีคนรักคอยห่วงใยนั้นดีเพียงใด ความรักของเราเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่หวือหวา และอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่มาโดยตลอด เราคบกันได้ประมาณ 3 ปี แฟนของฉันก็เรียนจบและได้ไปทำงานที่ต่างจังหวัดขณะที่ฉันยังคงเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ

ช่วงเวลานั้นฉันก็ได้พบกับรุ่นพี่อีกคนอายุห่างจากฉันประมาณ 8 ปี เขากลับมาเรียนปริญญาโทที่สถาบันเดียวกัน เราจึงมีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกัน หลังจากนั้นไม่นานฉันก็รู้สึกตัวว่าชอบพี่คนนี้เข้าอย่างจังเพราะเขาดูเป็นผู้ใหญ่ มีความคิด และเข้าใจฉันไปเสียทุกเรื่อง ทำให้ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกันมากขึ้น ตรงกันข้ามกับแฟนของฉันที่นับวันยิ่งห่างเหินทั้งทางกายและทางใจ

ฉันมีความสุขกับความรักซ้อนนี้ได้ไม่นานก็ต้องทุกข์แสนสาหัส เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังหลอกผู้ชายทั้งสองคนอยู่ ฉันยังคงบอกรักแฟนคนปัจจุบันอยู่ทุกวันทั้งที่ไม่ได้รักเขาอีกแล้ว ส่วนผู้ชายคนใหม่ฉันก็รู้สึกผิดที่ปกปิดความจริงว่าฉันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ฉันทนอึดอัดอยู่กับความรู้สึกผิดได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ตัดสินใจบอกความจริงกับชายคนใหม่ พร้อมกับกล่าวขอโทษและขอให้เราเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่หลังจากนั้นฉันกลับรู้สึกโหยหาผู้ชายคนใหม่ที่เพิ่งตัดสัมพันธ์ไป จึงได้โทร.ขอกลับไปคืนดีและบอกเขาว่าจะจัดการเรื่องแฟนของฉันให้เรียบร้อย

หลังจากนั้นฉันก็โทร.ไปบอกเลิกแฟนที่ฉันคบมานานกว่า 3 ปี ทั้งที่เขาเป็นผู้ชายแสนดีที่รักฉันมากที่สุดและไม่เคยทำผิดต่อฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนั้นฉันรู้สึกปวดใจมาก แต่ก็ไม่อยากทำผิดกับใครอีกจึงต้องตัดใจ และเป็นอย่างที่คาด เขาร้องไห้ฟูมฟายถามถึงเหตุผล ซึ่งฉันก็ได้แต่โกหกว่าระยะทางเป็นเหตุให้ความรักของเราล่มไม่เป็นท่า จากนั้นฉันก็สัญญากับตนเองว่าจะไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องรักสามเส้าอีกเป็นอันขาด

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วฉันก็เริ่มคบหากับผู้ชายคนใหม่อย่างเปิดเผยพร้อมทั้งแนะนำให้ครอบครัวของเราได้รู้จักกัน แม้ว่าอายุของเราจะห่างกันมาก แต่เขาก็เข้าใจฉันทุกเรื่องและคอยดูแลฉันตลอดเวลา เราคบกันได้ประมาณ 3 ปีฝ่ายชายก็ขอแต่งงานเพราะเขาอายุสามสิบกว่าแล้ว ในขณะที่ฉันเพิ่งอายุ 25 ปีเท่านั้น ฉันจึงบอกปฏิเสธพร้อมทั้งบอกเหตุผลว่าฉันยังไม่พร้อมใช้ชีวิตคู่ และขอเวลาอีกสัก 4 ปีเพื่อให้ได้ลองใช้ชีวิตและทำตามความฝันเสียก่อน จากนั้นจะแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน หลังจากที่พูดไปอย่างนั้นฝ่ายชายกลับเงียบหาย ฉันจึงลองใจด้วยการไม่โทร.ไป 3 เดือน เขาก็ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย ถือเป็นการบอกเลิกโดยไม่ต้องใช้คำพูดด้วยซ้ำ

การจากลาครั้งนี้เป็นการอกหักครั้งแรกของฉัน เมื่อคิดว่าจะไม่มีเขาอีกแล้วก็รู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพอรู้ว่าหลังจากเลิกรากับฉันได้เพียงหนึ่งปี เขาก็ประกาศแต่งงาน ทำให้ฉันทุกข์หนักเพราะรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เราเป็นแม่ของลูก แต่เป็นใครก็ได้ที่พร้อมจะแต่งงานกับเขา ช่วงนั้นฉันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ตอนกลางวันก็ต้องฝืนทำงาน พอตกกลางคืนก็ต้องพยายามหาสิ่งต่าง ๆ ทำจนกว่าจะหลับ บางครั้งถึงกับต้องกินยานอนหลับเพื่อให้ทางกายได้พักผ่อน ตอนนั้นฉันเข้าใจความรู้สึกของแฟนเก่าที่ฉันทิ้งเขาไปทันทีว่าเขาต้องเจ็บปวดเพียงใด

จำได้ว่าครั้งหนึ่งฉันเก็บอารมณ์ความเสียใจเอาไว้ไม่อยู่ ถึงกับร้องไห้ฟูมฟายถึงผู้ชายที่ทิ้งฉันไปต่อหน้าพ่อแม่และพี่สาว เมื่อฉันระบายความเศร้าผ่านน้ำตาจนพอใจแล้วก็เดินกลับขึ้นห้องไป โดยไม่รู้เลยว่าแม่ของฉันนั่งร้องไห้ต่อจากนั้นอีกนานเพราะสงสารลูก ทั้งยังโทร.ไปต่อว่าฝ่ายชายที่ทำให้ฉันเสียใจ หลังจากที่พี่สาวเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ฟัง ฉันปฏิญาณกับตนเองว่าจากนี้จะไม่ให้พ่อกับแม่เห็นน้ำตาเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกแล้ว เพราะฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความทุกข์ของฉันจะส่งผลต่อจิตใจของพ่อและแม่มากมายถึงเพียงนี้

หลังจากปล่อยให้จิตใจวนเวียนอยู่กับความทุกข์ได้ประมาณ 3 เดือน ฉันก็ต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัด ไปเจอสภาพแวดล้อมที่แปลกตาและเพื่อนร่วมงานใหม่ ๆ ทำให้คลายความทุกข์ไปได้บ้าง ผนวกกับไปเจอผู้ชายคนใหม่ที่เข้ามาทำให้จิตใจฉันกระชุ่มกระชวยอีกครั้ง

ผู้ชายคนนี้เป็นลูกของเพื่อนพ่อกับแม่ เขาเป็นคนที่เพียบพร้อมทั้งรูปร่าง หน้าตาและชาติตระกูล ทั้งยังเป็นคนอัธยาศัยดีทำให้มีผู้หญิงชอบเขามากมาย รวมทั้งฉันก็เริ่มหวั่นไหวไปกับเขาอีกคน แต่หลังจากพูดคุยกันได้สักระยะหนึ่งเขาก็ยอมรับว่ามีแฟนแล้ว ฉันจึงคิดตัดใจ แต่ฝ่ายชายยืนกรานอยากให้ฉันไปกินข้าวดูหนังกับเขาเหมือนเดิม เพราะตัวเขาเองก็คบผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกหลายคน เมื่อเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรและฉันเองก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยแล้ว จึงยังไปเที่ยวกับผู้ชายคนนี้โดยลืมนึกถึงความรู้สึกของผู้หญิงที่เป็นแฟนเขา ในที่สุดความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนี้ก็สิ้นสุดลงเมื่อฉันกลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ

หลังจากกลับมาใช้ชีวิตในเมืองกรุงได้ไม่นาน ฉันได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอายุน้อยกว่าฉันเกือบสองปี ตอนแรกฉันไม่ชอบเอาเสียเลยเพราะเขาดูเจ้าชู้และไม่เป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อคุยกันสักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีและดูแลฉันได้ จึงเริ่มสืบประวัติเพราะไม่อยากเสียใจซ้ำอีก ปรากฏว่าบางคนบอกว่าผู้ชายคนนี้เจ้าชู้ คบไม่ได้ ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเขาเป็นแค่คนคุยเก่ง ไม่ได้หลายใจอะไร สุดท้ายฉันก็ปล่อยให้ความรู้สึกนำพา เราจึงได้คบหากัน

ปีแรกเขาดูแลฉันเป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่พอเข้าปีที่สองฉันเริ่มจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน เขาแก้ตัวว่าผู้หญิงคนนี้เข้ามาในช่วงที่เราทะเลาะกัน ฉันเข้าใจได้เพราะรู้ว่าตนเองเป็นคนโมโหร้าย อาจพูดจาทำร้ายความรู้สึกเขาไปโดยไม่ทันคิด ฉันจึงให้อภัย แต่ฝ่ายหญิงกลับตามรังควานฉันไม่เลิก ทั้งโทร.มาก่อกวน ตามมาเฝ้าหน้าบ้านไปจนถึงโทร.มาต่อว่าด่าทอครอบครัวของฉันเสีย ๆ หาย ๆ ฉันจึงบอกให้แฟนของฉันจัดการเสียให้เรียบร้อย ส่วนฉันก็ปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาอีก

แม้ว่าเรากลับมารักกันเหมือนเดิม แต่สำหรับฉันทุกอย่างดูเปลี่ยนไป ฉันเริ่มไม่มีความสุขเพราะความหวาดระแวง ความกลัวคนรักนอกใจมันเกาะกุมจิตใจอยู่ตลอดเวลาจนไม่เป็นอันทำงาน แล้วก็จริงอย่างที่คิด แฟนของฉันยังคงคุยกับผู้หญิงคนอื่นอีก เราทะเลาะกันใหญ่โตเหมือนเดิม แต่ฉันก็ยังคงให้อภัยเขาซ้ำอีกเพราะยอมให้ความรักอยู่เหนือความถูกต้อง

เราคบกันกระทั่งครอบครัวของฝ่ายชายเริ่มพูดเรื่องแต่งงานและการสร้างเรือนหอ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ฉันต้องไปเรียนต่อต่างประเทศพอดี แฟนของฉันจึงถามว่าจะแต่งงานก่อนหรือจะไปเรียนต่อก่อน ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจว่ามันต่างกันอย่างไร เพราะสำหรับฉัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิตใจจะแต่งเลยหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ฝ่ายชายกลับบอกว่า หากแต่งแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันเขาคงนอกใจฉันอีกแน่ ๆ ฉันจึงบอกให้เราห่างกันไปในช่วงที่ฉันไปเรียนต่อเพื่อทบทวนว่าหากไม่มีกันแล้วจะรู้สึกอย่างไร

ระหว่างที่ฉันอยู่ต่างประเทศก็ได้ทบทวนใจตัวเองแล้วคิดว่าผู้ชายคนนี้แหละคือคนที่ฉันจะแต่งงานด้วย ฉันตั้งใจจะแต่งงานกับเขาทันทีเมื่อฉันเรียนจบ แต่หลังจากผ่านไปเพียง 8 เดือน เขาก็โทร.มาร้องไห้และบอกฉันว่าเขากำลังจะแต่งงาน นาทีนั้นเหมือนฟ้าถล่มลงมาต่อหน้า ความฝันที่ฉันจะจับมือชายผู้นี้เดินเข้าประตูวิวาห์สลายไปทันที เขายอมรับแต่โดยดีว่าเขาทำผู้หญิงท้อง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็สุดจะยื้อ ฉันร้องไห้เสียใจอยู่พักหนึ่ง พลางคิดทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และพบว่าในอดีตที่ผ่านมา ความไม่มั่นคงในความรักของฉันเป็นต้นเหตุให้เกิดรักสามเส้า หลังจากนั้นฉันก็ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวเช่นนี้มาโดยตลอด คงเป็นผลจากกรรมที่เคยก่อในอดีต ฉันจึงขอโหสิกรรมให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง และปฏิญาณตนว่าจะไม่ขอข้องเกี่ยวกับเรื่องรักสามเส้าอีกแล้ว

เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกเมื่อกลับมาเมืองไทยก็ทราบว่าพ่อเป็นมะเร็งกระดูกระยะลุกลาม และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่นาน นับเป็นข่าวร้ายที่สุดในชีวิต ฉันต้องเฝ้ามองพ่อทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งยังต้องแบกรับภาระทางบ้านเอาไว้ เนื่องจากเสาหลักของบ้านอย่างพ่อเกิดล้มครืนลงกะทันหัน วันหนึ่งฉันคิดอยากตาย เพราะหากตายไปก็คงไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดอีก แต่เมื่อได้พูดคุยกับเพื่อนที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกันความทุกข์ก็บรรเทาเบาบางลง ผนวกกับกำลังใจที่ได้จากคนรอบข้างอย่างล้นหลามทำให้ฉันฮึดสู้อีกครั้ง ช่วงนั้นฉันฟังธรรมะทุกคืนเพื่อทำใจกับความสูญเสียครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

พ่อต่อสู้กับโรคร้ายได้เพียง 1 ปีก็จากไป ทำให้ฉันได้คิดว่าฉันไม่มีวันจะเหนี่ยวรั้งใครไว้ได้ แม้กระทั่งผู้ชายที่เกิดมาเพื่อฉันอย่างพ่อก็ต้องถูกความตายพรากไปในที่สุด จากนั้นมาฉันจึงทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว คอยดูแลแม่ ทำหน้าที่ลูกอย่างสุดความสามารถ และไม่ขอข้องเกี่ยวกับความรักสามเส้าอีกแล้ว

ตอนนี้ฉันได้เรียนรู้แล้วว่ากรรมใดใครก่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดกรรมนั้นย่อมคืนสนองเสมอ


ข้อคิดจากพระครูธรรมธร ดร.สาคร สุวฑฺฒโน

ชาวพุทธทั้งหลายย่อมรู้จักศีล 5 กันเป็นอย่างดี และย่อมรู้ดีว่า “กาเมสุมิจฉาจาร” เป็นหนึ่งในศีล 5 ที่เราต่างท่องสวดกันอยู่บ่อยครั้ง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงความหมายของศีลข้อนี้ กาเมสุ แปลว่า กามทั้งหลาย กับคำว่ามิจฉาจาร ซึ่งมาจากคำว่า มิจฉา ที่แปลว่า ผิด กับอาจาร ที่แปลว่า ธรรมเนียมประเพณี ศีลข้อ 3 นี้จึงมีจุดประสงค์ให้มนุษย์ละเว้นจากการเสพกามที่ไม่ถูกต้องตามประเพณี และครอบคลุมไปถึงเรื่องการเจ้าชู้ นอกใจ ดังนั้นถึงแม้คุณโยมจะไม่ได้ประพฤติผิดในกามทางกายกับชายหนุ่มทั้งสาม แต่คุณโยมก็ได้กระทำความผิดโดยการไม่ซื่อสัตย์ต่อคนรักของตน และข้องแวะกับชายที่ตนก็รู้ดีว่ามีเจ้าของอยู่แล้ว การทำเช่นนี้ถือเป็นการทำผิดศีลข้อ 3 เช่นกัน

อย่างไรก็ดี คุณโยมก็ได้รับผลกรรมที่ตนก่อเสียในชาตินี้แล้ว อันจะเห็นได้จากความทุกข์ที่เกิดแก่คุณโยมเมื่อต้องตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่งมาเป็นคู่ชีวิต และการที่แฟนของคุณโยมไปมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับหญิงอื่น อาตมาจึงไม่ขอเน้นย้ำเรื่องกฎแห่งกรรมให้มากความ อย่างไรก็ดีต่อจากนี้อาตมาขอให้คุณโยมยึดหลักศีล 5 นี้ให้มั่น และอย่าหวนกลับไปกระทำผิดเช่นเดิมอีก ต้องซื่อสัตย์กับคนรัก และไม่อ่อนไหวไปตามอารมณ์ชั่ววูบ กล่าวคือ หากรักเป็นก็จะเย็นใจ หากรักไม่เป็นก็จะเข็ญใจ เพราะในทางพระพุทธศาสนา การกระทำผิดศีลในข้อ 3 นี้ก่อให้เกิดผลกรรมตามมามากมาย อาทิ มีคนเกลียดชัง คิดปองร้าย ขัดสนทรัพย์ เกิดเป็นบัณเฑาะก์ได้รับความอับอาย ร่างกายไม่สมประกอบและพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก

ส่วนเรื่องของคุณพ่อก็เป็นเสมือนบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ที่สอนให้คุณโยมรู้ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต และสอนให้เห็นว่าการพลัดพรากจากผู้เป็นที่รักนั้นเป็นเรื่องธรรมดา หากไม่จากเป็น สักวันหนึ่งก็ต้องจากตาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณโยมสามารถทำได้ในปัจจุบันคือ การดูแลรักษาบุพการีที่เหลืออยู่ซึ่งก็คือมารดาให้ดีที่สุดจนวาระสุดท้ายตามหน้าที่ที่ลูกพึงกระทำ เพื่อทดแทนพระคุณและความรักความเมตตาที่ท่านมอบให้เราตั้งแต่แรกลืมตา

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง จิต 

เรียบเรียง อิศรา ราชตราชู 

Image by Efes Kitap from Pixabay

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.