สุเชาว์

ปลายเข็มแห่งการ “ให้” อันยิ่งใหญ่แพทย์จีน สุเชาว์ ถาวรวงศ์

ปลายเข็มแห่งการ “ให้” อันยิ่งใหญ่แพทย์จีน สุเชาว์ ถาวรวงศ์

การ “ให้” ย่อมนำพาความสุขใจแก่ทั้งผู้ให้และผู้รับ และหากยิ่งเป็นการให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีผลตอบแทนใดๆ ความรู้สึกของผู้ให้อาจยิ่งใหญ่กว่าความสุขดังเช่นเรื่องราวของ แพทย์จีนสุเชาว์ ถาวรวงศ์

เริ่มต้นเป็นแพทย์จีนฝังเข็มได้อย่างไรคะ

ต้องเล่าก่อนว่า ผมมีบรรพบุรุษเป็นแพทย์จีนที่มีความรู้และมีใบประกอบวิชาชีพซึ่งถือเป็นแพทย์จีนรุ่นสุดท้ายก่อนที่กฎหมายใหม่กำหนดว่า แพทย์จีนทุกคนต้องผ่านการเรียนมหาวิทยาลัย แต่ตอนเด็ก ๆ ผมไม่คิดอยากเป็นแพทย์ เพราะผู้ใหญ่ชอบให้กินยาและผมมักหนีเสมอ

พอเรียนจบ ผมทำงานด้านโฆษณามาตลอด โดยเป็นครีเอทีฟ งานส่วนใหญ่ที่ทำจะเป็นภาพยนตร์โฆษณา และได้ทำงานโฆษณาด้านสุขภาพและโรงพยาบาลเสมอจึงเริ่มสนใจศึกษาเรื่องสุขภาพมากขึ้นเพื่อนำความรู้มาใช้กับงานได้

ภายหลังผมรู้สึกว่าทำไมพ่อกับแม่ป่วยแล้วรักษาไม่ได้ ไปโรงพยาบาลก็ไม่หาย หรือเรามักได้ยินเสมอว่า คนที่เป็นโรคเบาหวานต้องเป็นไปตลอดชีวิต ผมคิดว่าทำไมเรามีความรู้เรื่องสุขภาพน้อยมาก ถ้าเป็นเรื่องรถยนต์เรายังรู้เลยว่าต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกกี่กิโลเมตรแต่เรื่องเบาหวาน ทำไมเราไม่รู้ว่าต้องกินอาหารอย่างไร ดูแลตัวเองอย่างไร ผมจึงเริ่มศึกษาเรื่องสุขภาพอย่างจริงจัง ตอนแรกก็หาหนังสือมาอ่านศึกษาด้วยตัวเองก่อน

เมื่อหาความรู้จากการอ่านหนังสือมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มไปเรียนตามสถาบันต่าง ๆทุกอย่างเริ่มต้นจากศูนย์ ค่อยเป็นค่อยไปทีละนิด เพราะผมเป็นคนทำอะไรช้าและไม่ได้มีพรสวรรค์ใด ๆ

มีจุดเปลี่ยนอะไรให้คนที่ทำงานจากแวดวงโฆษณาซึ่งน่าจะทำงานหนักอยู่แล้ว หาเวลาไปเรียนแพทย์แผนจีนได้คะ

งานเยอะก็จริง แต่ถ้าผมสนใจหรือชอบอะไรจริง ๆ ก็จะมีเวลาให้กับสิ่งนั้นเสมออีกอย่างคือผมไม่มีครอบครัว จึงพอมีเวลาเป็นของตัวเอง ไม่ต้องแบ่งเวลาให้คนอื่นผมคิดว่า ที่บอกกันว่าไม่มีเวลา น่าจะเป็นเพราะเสียเวลาให้กับโซเชียลเน็ตเวิร์คกันเยอะมากกว่า

จริง ๆ แล้วทุกคนมีเวลานะครับ ทุกอย่างอยู่ที่ความคิดของเราทั้งหมด ถ้าคิดว่าตัวเองงานยุ่ง ไม่มีเวลา มันก็ไม่มี แต่ถ้าใครมาบอกว่าผมงานยุ่ง ผมโกรธนะ (หัวเราะ)เพราะถือว่าเราบริหารเวลาไม่เป็น งานเยอะก็จริง แต่ทุกอย่างสามารถทำไปด้วยกันได้

ทุกวันนี้นอกเหนือจากเวลางานทั้งสองอย่างแล้ว ผมยังมีเวลาชิมและชงกาแฟดี ๆศึกษาหาความรู้จนสอบได้ใบ Q Arabica Grader ของสถาบันกาแฟโลก ซึ่งถือเป็น 1 ใน 40 คนแรกของประเทศไทยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ สามารถชิมกาแฟแล้วตีค่าออกมาเป็นตัวเลขได้ ถ้ากาแฟนั้นมีคะแนนเกินกว่า 80 จะได้รับการจัดให้เป็นกาแฟพิเศษที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างมาก ผมทำทุกอย่างเพราะความชอบและมีความตั้งใจจริง หากว่าตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ผมจะไม่หยุดเดินและหาเวลาให้กับสิ่งที่ชอบได้เสมอ

การเรียนรู้เรื่องการแพทย์แผนจีนใช้เวลานานไหมคะ

 ช่วงปีสองปีแรกที่เริ่มศึกษา ผมไม่รู้เรื่องเลย เพราะหนึ่ง อ่านภาษาของศาสตร์นี้ไม่เข้าใจ มีแต่ภาษาอะไรไม่รู้ที่เราไม่เคยเจอสอง ต้องใช้จินตนาการสูง อ่านแล้วต้องคิดภาพตาม ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่นานแต่ผมไม่ใช่คนใจร้อน จึงค่อย ๆ ศึกษาไปเรื่อย ๆ จากที่ไม่รู้เรื่องเลยก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นแต่สุดท้ายผมกลับไม่ได้นำความรู้นั้นมาดูแลพ่อกับแม่ เพราะท่านเสียชีวิตไปก่อน

ต่อมาผมเห็นป้ายสมาคมศาสตร์การแพทย์จีนที่เมืองทองธานี จึงเข้าไปสอบถามรายละเอียดและลงเรียนคอร์สแพทย์แผนจีนหลายคอร์ส กว่าจะทำงานเป็นแพทย์จีนฝังเข็มอย่างวันนี้ใช้เวลาเรียนเกือบ 10 ปี จากนั้นก็ต้องสอบได้ใบประกอบโรคศิลปะแพทย์แผนจีน ดังนั้นทุกอย่างต้องใช้เวลา ไม่มีทางลัด บางคนอาจท้อแล้วหยุดไป แต่ผมไม่หยุดเพราะตั้งเป้าหมายไว้แล้ว

คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

การศึกษาแพทย์แผนจีนมีหลายแขนงทำไมถึงเลือกการฝังเข็มคะ

 คนที่เป็นแพทย์แผนจีนควรเรียนรู้ศาสตร์ทุกแขนง แต่ผมคิดว่าเมื่อเป็นแพทย์แล้ว เรามีหน้าที่ตามอาชีพที่ต้องดูแลคนไข้ให้ดีที่สุด และรักษาคนให้ได้มากที่สุดเพราะฉะนั้นการฝังเข็มจึงตอบโจทย์ที่สุดเพราะสามารถช่วยคนได้เยอะ เร็ว และเสียค่าใช้จ่ายไม่มาก

หลายคนอาจกลัวการฝังเข็มไปตามจุดต่างๆ ในร่างกาย จริงๆ แล้วการรักษาแบบนี้มีอันตรายไหมคะ

ตามหลักวิชามีจุดที่ฝังเข็มแล้วไม่เป็นอันตรายครับ คือต้องไม่ฝังเข็มไปโดนอวัยวะภายใน ตอนแรก ๆ ผมก็กลัวและยังฝังเข็มให้คนอื่นไม่ได้ จึงต้องลองฝังเข็มตัวเองก่อน เข็มแรกที่ฝังตัวเองใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงต้องเอาชนะความกลัวและยอมเจ็บ เพื่อจะได้รู้ว่า ฝังเข็มลงไปตรงนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไรได้ผลหรือไม่ พอฝึกเรื่อย ๆ ก็ทำได้

จากนั้นผมก็เริ่มหาวิธีที่จะทำให้ได้รักษาคนเยอะ ๆ จึงตามหมอรุ่นพี่ไปทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง ผมได้สัมผัสกับคนไข้จริง ๆได้สังเกตเวลาที่แพทย์วินิจฉัยคนไข้ ผมอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายเดือนจนรู้สึกว่าตัวเองทำได้และต่อมาก็มีรุ่นพี่ชวนให้เข้าร่วมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่ดูแลพระสงฆ์กว่าปีละ 3 แสนรูป

ผมเข้าไปทำงานกับแพทย์เคลื่อนที่กลุ่มนี้ประมาณช่วงปี พ.ศ. 2552 - 2553 ตอนนั้นทีมแพทย์มีทั้งหมด 50 คน และมีภารกิจทั้งปีถ้าผมว่างก็จะไปด้วยเสมอ ถือได้ว่างานนี้ทำให้ผมเกิดความเชี่ยวชาญและหาเทคนิคการฝังเข็มเฉพาะของตัวเองได้

การฝังเข็มของคุณสุเชาว์แตกต่างจากแพทย์ท่านอื่นอย่างไรคะ

 แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับวิธีคิดของแพทย์แต่ละคน สำหรับผมแล้ว อาการของคนไข้ต้องดีขึ้นตั้งแต่การฝังเข็มครั้งแรกครับเพราะเวลาไปรักษาชาวบ้านที่ต่างจังหวัด ผมอาจได้เจอเขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งผมก็ตั้งใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและปรับให้เป็นศิลปะการรักษาเฉพาะของตัวเอง คิดใหม่หมดแต่อ้างอิงตามหลักวิชาการว่าไม่เป็นอันตรายและไม่เสี่ยง แต่ต้องเห็นผลเร็วที่สุด

ดังนั้นผมอาจไม่ฝังเข็มไปตรงจุดที่มีอาการ ตัวอย่างเช่น ถ้าคนไข้มีอาการปวดแขนอาจฝังเข็มที่เท้าก็ได้ เพราะอวัยวะในร่างกายมีความเกี่ยวข้องกัน การปวดแขนอาจเป็นผลหรือตัวปลายทาง ไม่ใช่สาเหตุ ก่อนรักษาจึงต้องหาสาเหตุให้เจอก่อน

ข้อดีหนึ่งของการทำงานครีเอทีฟมาก่อนทำให้ผมคุ้นเคยกับการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ และคอยสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างดังนั้นเมื่อได้พบคนไข้ผมจะดูลักษณะภายนอกทุกอย่างก่อน ทั้งหน้าตา ผม โหงวเฮ้ง และท่าทาง คือมองแล้วต้องประเมินได้คร่าว ๆ ก่อนแล้วว่าเขาป่วยเป็นอะไรมา

เวลาไปรักษาที่ต่างจังหวัด วันหนึ่งมีคนไข้มารอเป็นร้อยคน ทำให้มีเวลาตรวจแต่ละคนไม่มาก จึงต้องดูภายนอกก่อนเพื่อวินิจฉัยเบื้องต้น เช่น ทรงผมที่ชี้ไม่เป็นระเบียบอาจเกี่ยวกับระบบการย่อย หรือฝ้าแบบไหนเกี่ยวข้องกับระบบการย่อยหรือตับอย่างไร ผมต้องสังเกตก่อน เพราะการรักษาก็คือการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ เช่นกัน

ทราบมาว่าเทคนิคหนึ่งของคุณสุเชาว์คือการใช้เข็มเล่มใหญ่

 ผมไม่รู้ว่าเข็มของคนอื่นเป็นอย่างไรแต่การใช้เข็มขนาดใหญ่เป็นเทคนิคหนึ่งที่มีผลต่อการรักษา ผมไม่กลัวคนไข้เจ็บ กลัวคนไข้ไม่หายมากกว่า เพราะผมให้ความสำคัญกับผลจากการรักษา เข็มเล่มขนาดนี้ผมก็เคยลองฝังตัวเองมาแล้วนะ และเคยได้ยินคนเล่าลือกันมาว่าผมฝังเข็มเจ็บที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย (หัวเราะ)

คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

จุดเริ่มต้นของการเปิดรักษาฟรีในต่างจังหวัดเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ

ครั้งหนึ่งผมไปทำงานที่ภูเก็ต และได้เจอเพื่อนสมัยเรียนที่นั่นจึงนัดเจอกัน ตอนนั้นเพื่อน ๆ ยังไม่รู้ว่าการฝังเข็มคืออะไร แต่มีญาติ ๆ ของเขาสนใจอยากรักษา ผมจึงมาเปิดรักษาฟรี ปรากฏว่ามีคนมารอรักษากันเยอะมาก เพื่อน ๆ จึงถามว่า อีก 45 วันมาใหม่ได้ไหม ผมก็ตกลง

พอมาอีกครั้งคนไข้ก็ยังเยอะมาก จึงตกลงกับเพื่อนว่าจะมารักษาให้เป็นกิจวัตรเลยดีกว่า ผมจึงเดินทางไปเปิดคลินิกรักษาให้ฟรีทุก 45 วัน โดยเปิดรักษาสองวัน คือวันเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งเป็นการไปส่วนตัว แต่มีเพื่อน ๆ เป็นเจ้าภาพออกค่าเดินทางและอุปกรณ์ให้ และทำอย่างนี้มา 5 ปีแล้ว

นอกจากที่จังหวัดภูเก็ตแล้ว ก็มีจังหวัดเชียงรายที่ไปทุก 45 วัน ซึ่งเริ่มจากได้เจอเพื่อนอีกเหมือนกัน ต่อมาจึงได้ชักชวนกันช่วยเหลือผู้ป่วยที่เชียงราย ปีนี้เป็นปีที่ 4 แล้วส่วนที่อื่น ๆ ก็แล้วแต่ใครจะเชิญครับ

การที่ผมรักษาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใด ๆเพราะถือว่าได้ทำเพื่อคนอื่น ส่วนการพูดกับคนไข้ ผมจะไม่โกหก คือบอกเขาเลยว่าเขาเป็นอะไร เขาป่วยเพราะอะไร ต้องทำตัวอย่างไร ผมจะไม่มาหลอกเพื่อเอาผลประโยชน์เพราะผมไม่มีผลประโยชน์อยู่แล้ว การเป็นผู้ให้ เราสบายใจมากนะ 5 ปีมานี้ผมรักษาคนไข้ปีละประมาณ 2,000 คน ใช้เข็มไปประมาณปีละแสนเล่ม

เวลาที่รักษาแล้วเห็นคนไข้หายดีรู้สึกอย่างไรคะ

 แรก ๆ ผมดีใจมากที่เห็นคนไข้ดีขึ้นแต่หลัง ๆ มานี้สิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากกว่าคือเขาสามารถกลับไปทำมาหากินได้เหมือนเดิมหรือครอบครัวได้กลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน หรือมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน

มีบางเคสเหมือนกันที่รักษาแล้วไม่หายเพราะบางทีก็เกินความสามารถของเรา หรือบางครั้งก็อาจเกิดจากตัวคนไข้เอง ที่เราบอกอะไรหรือห้ามอะไรแล้วเขาก็ยังดื้อ แต่ถึงจะมีปัจจัยจากคนไข้ที่ทำให้เขาไม่หาย แต่ก็ทำให้รู้สึกไม่ดีและเครียด อย่างที่บอกว่าผมตั้งใจทำงาน พอไม่ได้อย่างที่หวัง ก็ผิดหวังเป็นธรรมดา

ประทับใจการรักษาครั้งไหนที่สุดคะ

 เยอะครับ มีเคสหนึ่งตอนไปรักษาที่เชียงราย คนไข้เป็นชาวเขา เขามารักษาเพราะงอแขน งอนิ้วไม่ได้ จนต้องหยุดทำงานและขาดรายได้ เขาอยู่ตัวคนเดียว เพื่อนบ้านจึงพามาหาผม ครั้งแรกที่ผมฝังเข็มรักษาให้เขาก็เริ่มงอมือได้แล้ว พอกลับบ้านไปเขาก็เริ่มเย็บผ้าได้ มีรายได้เหมือนเก่า ทำให้เขาดีใจมาก

พอผมกลับไปที่เชียงรายอีกครั้ง เขาก็มารอเจอผม เราพูดกันไม่รู้เรื่องเพราะเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่มีคนแปลให้ฟังว่าเขาเดินลงจากภูเขาเพื่อมาขอบคุณหมอ ตอนนี้ชีวิตของเขาดีขึ้นมาก และมีความสุขมากอยากให้ผมได้รักษาคนไข้ต่อไป ได้ยินเรื่องอย่างนี้ผมก็ดีใจมาก

ตอนแรกผมเคยคิดว่า ถ้าได้รักษาคนเยอะ ๆ จะทำให้เราเก่งขึ้น แต่พอได้มาทำจริง ๆ กลับรู้สึกว่าไม่ใช่ เพราะการที่เราได้ดูแลคนอื่น ได้ดูแลชีวิตของเขาถือว่าเป็นเกียรติมาก และผมเชื่อว่า คนเราทุกคนที่มาเจอกันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง เราอาจเคยช่วยเหลือกันมาก่อน เพราะฉะนั้นในตอนนี้เราจึงได้มาดูแลเขา เคยคิดตลก ๆ เหมือนกันนะครับว่า ชาติก่อนเราคงทำอะไรกับคนหมู่มากไว้เยอะนะ จึงต้องมาดูแลเขา (หัวเราะ)

เวลามาเจอคนไข้ ได้รักษาและทำเพื่อเขา ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย กลับรู้สึกว่าเราได้ตอบแทนเขา ได้ดูแลกันและกัน ทำให้ผมสบายใจ ผมเรียกคนไข้เป็นพี่ป้าน้าอาเป็นเหมือนญาติพี่น้องกันหมดทุกคน

การเป็นแพทย์แผนจีนแตกต่างกับงานครีเอทีฟ ทำให้ต้องปรับบุคลิกในการทำงานไหมคะ เพราะถ้ามองจากภายนอกแล้ว งานสองอย่างนี้แตกต่างกันมาก

งานครีเอทีฟจะปรับบุคลิกหรือตัวตนไปตามกลุ่มเป้าหมาย ตามงานที่ทำ ส่วนการเป็นแพทย์ ผมไม่ต้องปรับตัวอะไรเลยแต่วิธีรักษาก็ต้องปรับไปตามคนไข้แต่ละคนเหมือนกับการทำงานเป็นครีเอทีฟนั่นแหละงานทั้งสองอย่างนี้ไม่ได้แยกจากกัน มันอยู่ร่วมกันได้ ผมไม่ได้มองทุกอย่างแยกจากกันผมมองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือครีเอทีฟ ทั้งสองงานก็คือตัวของผมและชีวิตของผม

คลิกเลข 4 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

 

การเป็นแพทย์แผนจีนให้ข้อคิดสำคัญอะไรกับชีวิตบ้างคะ

ก่อนมาเป็นแพทย์แผนจีน ผมทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง นึกถึงผลประโยชน์ของตัวเองมองเห็นแต่ความทุกข์ของตัวเอง คือมองแค่ตัวเรา ครอบครัว และสังคมรอบตัวเราโดยที่อาจไม่ได้มองเห็นคนอื่นมากนัก

พอมาเป็นแพทย์ ผมได้มองเห็นคนอื่น มองเห็นความทุกข์ของเขา และใส่ใจทุกคน เพราะเราต้องดูแลคนไข้ของเราต้องช่วยเหลือและให้กำลังใจเขา แม้เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ผมก็ทุ่มเทความรู้ความสามารถทุกอย่างที่มีเพื่อเขา ให้เขากลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ การได้มองเห็นความทุกข์ของคนอื่นทำให้โลกของเรากว้างขึ้น

ผมถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากกับการมองเห็นความสำคัญของคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกันการที่ได้มาช่วยเหลือกันโดยไม่มีผลประโยชน์ต่อกันนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ “การให้” ซึ่งมีพลังที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะเวลาที่เราไม่ได้คิดแสวงหาสิ่งต่าง ๆ เข้าหาตัว พลังที่เราให้ออกไปจะมหาศาล และพลังนั้นยังส่งผลสะท้อนกลับมาที่เราเยอะมากด้วย

การได้พบเจอกับคนที่เจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ ทำให้ความคิดเปลี่ยนไปอย่างไรคะ

 ผมเริ่มกลับมาคิดว่า ชีวิตของคนเราเปราะบางมากเลยนะ อะไรนิดเดียวก็ทำให้เราป่วยได้ คนเราเหมือนฝุ่นในจักรวาลเท่านั้นเอง อะไรพัดมาก็ปลิวไปหมดแล้ว เราไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรเลย วันนี้เราพร้อมจะอยู่หรือจะไปได้ทุกเมื่อ โดยที่เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย ชีวิตมันเปราะบางมากกว่าที่เราคิดไว้เยอะ

ผมจึงคิดว่า เวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วยังเห็นตัวเอง ก็ควรขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เรายังมีชีวิตอยู่ ควรดูแลคนที่อยู่ในชีวิตของเรา และดูแลช่วยเหลือคนอื่นให้ดีที่สุดในขณะเดียวกันก็ทำให้ผมกังวลอยู่ลึก ๆ ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะผมเห็นคนป่วยคนล้มตลอดเวลาทุกวัน ได้เห็นความหดหู่และเห็นความเดือดร้อนที่สุดของคน ซึ่งก็คือความเจ็บป่วย

แต่ความกังวลที่ว่านี้ทำให้ผมไม่ประมาทและหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น เพราะผมอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครดูแล เพราะฉะนั้นก็ต้องดูแลตัวเอง ระวังเรื่องอาหารการกินออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนก่อน 5 ทุ่ม เวลาตื่นนอนทุกครั้งก็ดีใจที่เรายังมีชีวิตอยู่ และการที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่เป็นภาระของใคร เราก็ต้องดูแลตัวเอง

ตั้งใจที่จะรักษาคนไข้แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่คะ

จนกว่าจะหมดแรงครับ ไม่ได้คิดว่าจะทำไปถึงอายุเท่าไหร่หรือจบลงเมื่อไหร่ ทุกวันนี้ผมมีอีกอาชีพหนึ่งทำ มีรายได้ ไม่เดือดร้อนจึงสามารถรักษาฟรีได้ ผมจะทำไปเรื่อย ๆและผมเชื่อว่าวันหนึ่งถ้าผมมีเหตุผลที่จะต้องหยุดรักษาจริง ๆ ทุกคนจะเข้าใจผม เพราะผมได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว พอเพียงแล้ว แต่ก็คงไม่ได้หยุดง่าย ๆ หรอกครับเพราะการรักษาคนไข้กลายเป็นความสุขของผมไปแล้ว

แพทย์จีนสุเชาว์ ถาวรวงศ์เป็นหนึ่งในกูรูด้านสุขภาพและศาสตร์การแพทย์จีน (การฝังเข็ม)ที่เปิดให้คำปรึกษาใน“คลินิกออนไลน์” ของเว็บไซต์นิตยสารชีวจิต www.cheewajit.com


เรื่อง เชิญพรคงมาภาพสรยุทธพุ่มภักดีสไตลิสต์ณัฏฐิตาเกษตระชนม์


Secret คือแรงบันดาลใจ
สั่งซื้อนิตยสารหรือสมัครสมาชิก Secret ได้ที่ 0-2423-9889
ทาง Naiin.com : https://www.naiin.com/magazines/title/SC/

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.