เบนซ์-มิค ชีวิตจริง (หวาน) ยิ่งกว่าในละคร

ถ้าชีวิตเปรียบดั่ง “บทละคร”  ชีวิตของคู่รัก เบนซ์ - พรชิตา  ณ สงขลา  และ มิค - บรมวุฒิ  หิรัณยัษฐิติ คงเป็นบทละครที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามเพื่อพิสูจน์รักแท้ กว่าความรักของทั้งคู่จะจบลงบริบูรณ์ด้วยการแต่งงานพวกเขาต้องผ่านบททดสอบใดบ้าง  ติดตามได้ที่นี่

หลายคนสงสัยว่าคู่นี้คบกันได้อย่างไร  ใครจีบใครก่อน

■ มิค : เบนซ์จีบมิคก่อน

■ เบนซ์ : (หัวเราะ)  จริง ๆ ไม่มีใครจีบใครก่อนค่ะ

■ มิค : เริ่มจากมีเพื่อนเบนซ์คนหนึ่งมีแฟนแล้ว  แต่มาเล่าให้ฟังว่าเบนซ์เป็นกิ๊กของเขา  ผมก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้เหรอทั้งที่ตอนนั้นไม่ได้รู้จักเบนซ์เป็นการส่วนตัว  แต่รู้สึกได้ว่าเบนซ์ไม่น่าจะเป็นคนอย่างนั้น  ผมได้แต่เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจจนวันหนึ่งบังเอิญเจอเบนซ์ที่กองถ่ายละคร  จึงเดินเข้าไปถามว่า  “น้องรู้จักคนนี้ไหม”  เบนซ์ก็บอกว่า  “รู้จักค่ะพี่”  มิคถามต่อว่า  “น้องเป็นแฟนเขาเหรอ”  เบนซ์ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันเลย  ผมเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เบนซ์ฟังเพราะอยากให้เบนซ์ระวังตัว  จากนั้นไม่นานก็เห็นเบนซ์ยืนคุยกับเพื่อนคนนั้นดูสนิทสนมกัน  ผมชอบล้อเล่นจึงหยอกเบนซ์  “ไหนบอกว่าไม่สนิทกันไง”  เบนซ์เลยบอกผมว่า  “พี่ ขอเบอร์หน่อยเดี๋ยวจะโทร.ไปเคลียร์”  ตอนนั้นผมยังนึกในใจว่าจะเคลียร์ทำไม  ผมไม่ใช่แฟนเบนซ์สักหน่อย

■ เบนซ์ : หลังจากวันนั้นเบนซ์ก็โทร.ไปอธิบายให้พี่มิคฟังกลายเป็นว่าเราคุยกันต่อมาเรื่อย ๆ เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นพี่ที่คุยได้

ปรึกษาได้แทบทุกเรื่องความรู้สึกแบบพี่น้องพัฒนาเป็นคบหาดูใจกันได้อย่างไรคะ

■ เบนซ์ : ตอบไม่ถูกเหมือนกันค่ะ  คือเราแทบไม่มีช่วงจีบกัน  เลยนึกไม่ออกว่าความรู้สึกเปลี่ยนไปตอนไหน

■ มิค : สมัยนั้นไม่มีไลน์  มือถือส่งได้แค่เมสเสจ

■ เบนซ์ : เราส่งเมสเสจกันไปมาวันละ 2 – 3 ครั้งแค่นั้นเนอะ

■ มิค : ไม่ใช่นะ  เบนซ์ส่งหามิคเยอะ  สมัยก่อนมิคน่ารัก (ยิ้ม)

■ เบนซ์ : แล้วสมัยนี้ไม่น่ารักเหรอ

■ มิค : น่ารักกว่าเดิม (หัวเราะ)

■ เบนซ์ : เบนซ์คุยกับเขาแล้วสบายใจ  เขาเป็นพี่ที่คุยได้ เป็นคนพูดตรง ๆ  อยู่ในวงการนี้เราหาคนที่พูดตรง ๆ กับเรายาก  แต่พี่มิคจะพูดจะเตือนตรง ๆ  คุยด้วยแล้วสบายใจ

ทั้งคู่ตรงกับสเป็คของกันและกันไหมคะ

■ เบนซ์ : ไม่ใช่เลยค่ะ

■ มิค : ไม่ใช่คนในสเป็คที่ผมจะจีบเลยเหมือนกันครับ (หัวเราะ)

■ เบนซ์ : แต่เบนซ์ชอบคนอารมณ์ดีนะ  ตลกมาก  เชื่อไหมว่าเบนซ์รู้จัก พี่ชาย - ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ มานาน  แต่ไม่เคยรู้จักมิค - บรมวุฒิ ทั้งที่เป็นน้องของพี่ชาย  ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยทำงานด้วยกัน  ตอนที่คนอื่นรู้ว่าเราเป็นแฟนกัน  เขายังขำกันเลยว่าไปเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่

■ มิค : สมัยนั้นช่อง 3 ออกบู๊ธงานกาชาด  ผมไปเป็นพิธีกรส่วนเบนซ์ขายเฉาก๊วย  คุณแม่เบนซ์เคยเดินมาหยอกผมว่า “จีบหน่อยสิ  น้องเขาชอบเธอ”  ผมยังตอบแม่แบบติดตลกไปว่า “ไม่ละแม่  ผมไม่ชอบคนดำ  น้องดุ ผมไม่ชอบ” แต่พอคบหาดูใจกันจริง ๆ  แม่คุณเบนซ์กลับหวงมาก

■ เบนซ์ : ใช่ค่ะ

■ มิค : ผมเจอบททดสอบสารพัด  ขนาดคบกันหลายปีแล้ว วันหนึ่งพอผมเข้าไปสวัสดีพ่อแม่เบนซ์ที่บ้าน  ทันทีที่เห็น คุณแม่เดินหนีออกจากบ้านไปเลย  หรือเวลาไปกินข้าวกัน  คุณแม่ตักกับข้าวให้เบนซ์แล้วบอกว่า  “เบนซ์กินอันนี้  พี่คนนั้น (ผู้ชายคนอื่นที่เคยจีบเบนซ์) ชอบกิน”  แม้แต่ในกองถ่ายก็ชอบชวนผู้ชายคนอื่นมาจีบเบนซ์  ทั้งที่ผมก็นั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นหรือถ้าผมซื้อขนมซื้อผลไม้จากต่างประเทศไปฝาก  ก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่า  “วางไว้ตรงนั้นแหละ”  แล้วเรียกให้คนงานที่บ้านเอาไปกิน  เป็นอย่างนี้มาหลายปีครับ

 

เบนซ์ มิค

ทั้งที่คุณเบนซ์ไม่ใช่สาวในสเป็ค  แถมคุณแม่ยังขัดขวางอีก  ทำไมคุณมิคยังอดทน

■ มิค : ช่วงแรกผมคิดว่าไม่ใช่สเป็ค  แต่พอคุยไปคุยมา  ผมก็รู้ว่าเบนซ์เป็นคนกตัญญู  ซึ่งผมชอบมาก  เพราะผมก็เป็นคนรักครอบครัว  อันดับหนึ่งคือพ่อแม่และครอบครัว  เบนซ์เป็นคนอย่างนี้เหมือนกัน  คนที่ผมเคยคบ  แค่ยกเลิกนัดเพราะต้องไปทำธุระกับแม่กะทันหัน  เขาก็โกรธ  แต่เบนซ์ไม่ใช่คนแบบนั้น  นี่คือจุดแรกที่ทำให้ผมชอบเบนซ์

■ เบนซ์ : เคยดูละครไหมคะ  คนประเภทที่แม่ตามแล้วต้องรีบกลับบ้าน  พี่มิคเป็นแบบนั้น  แต่แม่พี่มิคน่ารักมาก  และก็รักเบนซ์มากกว่าพี่มิคด้วยนะ

■ มิค : ใช่ครับ  เวลาทะเลาะกัน  แม่ผมจะเรียกเราทั้งคู่มานั่งแล้วถามว่า  “มิครักเบนซ์ไหม  ขอโทษเบนซ์เสีย”  แต่เราไม่ค่อยทะเลาะกันใหญ่โตนะครับ  อาจเพราะศึกษาดูใจกันมานานพอสมควรแล้วก็ได้  ก่อนหน้านั้นเบนซ์มักชอบพูดว่า “ถ้าพี่ทนหนูได้ภายในสองปีแรก  พี่ก็อยู่กับหนูได้ตลอดชีวิต” แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ  เพราะช่วงสองปีแรกเบนซ์งี่เง่ามาก ขี้หึงสุด ๆ  ขนาดโทรศัพท์มือถือมิคยังไม่ทันดัง  เบนซ์ก็ถามแล้วว่า  “ใครโทร.มา”  เห็นรูปถ่ายคู่กับใครก็หึง  พอมิคขอไปเจอเพื่อนบ้างก็ถามว่า “เพื่อนคนไหน  เบนซ์ไม่รู้จัก  ไม่ต้องไป”  ตอนนั้นเพื่อนถามเลยว่าผมทนทำไม  ผมก็ตอบเพื่อนไม่ได้ว่าทำไม  แต่ทุกวันนี้รู้แล้ว  เพราะการที่ผมพาคนคนหนึ่งเข้าไปในครอบครัว  ให้พ่อแม่เห็น  แสดงว่าผมรักและมั่นใจในคนคนนั้นแล้ว  พ่อแม่ผมก็รักคนคนนั้นไปด้วย  หรืออาจรักมากกว่าด้วยซ้ำ  ซึ่งคนคนนั้นคือเบนซ์  ดังนั้นไม่ว่าเบนซ์จะงี่เง่าแค่ไหนหรือมีอุปสรรคอะไร  ผมทนได้  พอครบสองปีแรกเบนซ์ก็เลิกงี่เง่าเลย  เหมือนเขาลองใจมากกว่า

ส่วนคุณแม่ของเบนซ์  ภายนอกท่านดูเหมือนเป็นคนดุมาก  แต่จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนจิตใจดี  ทุกอย่างที่ทำก็เพราะรักและหวงเบนซ์มาก  ผมเข้าใจดีทุกอย่าง  จึงอดทนและเชื่อฟังมาตลอดด้วยความเคารพ

■ เบนซ์ : นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้รักผู้ชายคนนี้  คือเบนซ์รู้ว่าแม่ดุมาก  จึงมักบอกกับพี่มิคเสมอว่า  “พี่ไม่มีทางเปลี่ยนแม่หนูได้  เพราะแม่หนูเป็นแบบนี้  พี่เป็นคนใหม่ในครอบครัว  พี่ก็ต้องปรับตัว  ไม่ใช่ให้แม่ปรับเข้าหาพี่  หนูรักแม่หนู  ก็เหมือนกับที่พี่รักแม่พี่”  พี่มิคน่ารัก  เข้าใจ  และอดทนมาตลอด

ทราบมาว่าคุณพ่อของคุณเบนซ์ตรงกันข้ามกับคุณแม่เลย  เหมือนเป็นกามเทพ

■ มิค : ใช่ครับ  คุณพ่อเบนซ์เหมือนเป็นกามเทพจริง ๆ  ท่านใจดีมาก  ช่วงแรกผมกลัวคุณแม่มาก  ท่านสั่งห้ามทุกอย่างกีดกันทุกทาง  ตรงกันข้ามกับคุณพ่อ  ตอนนั้นผมเพิ่งคบกับเบนซ์ไม่นาน  คุณพ่อโทร.มาบอกว่า  “มิค  วันนี้จะไปไหนไหมมารับเบนซ์ไปด้วยสิลูก”  บางครั้งผมพาเบนซ์กลับบ้านดึกคุณพ่อก็จะบอกว่า  “ก่อนเข้าบ้านให้โทร.บอกพ่อก่อน  จะได้ขับรถเข้าบ้านพร้อมกัน  แม่จะได้คิดว่าไปด้วยกัน”  คุณพ่อใจดีมาก  ดูแลผมทุกอย่าง  ผมจึงยิ่งต้องทำตัวให้ดีให้สมกับความไว้ใจ  จนทุกวันนี้แต่งงานแล้ว  เวลาเราสองคนจะไปเที่ยวจะชวนพ่อไปด้วยตลอด  ไปเที่ยวกันสามคนประจำ

■ เบนซ์ : พ่อคงคิดว่าถ้าปิดไม่ให้พี่มิคเข้ามาเลย  ที่บ้านก็จะไม่มีใครรู้จักนิสัยใจคอเขา  พ่อก็เลยใช้วิธีเปิด  เพื่อทำความรู้จักและเรียนรู้นิสัยใจคอของพี่มิคไปพร้อมกับเบนซ์ด้วย

แล้วคุณมิคทำอย่างไรจึงเอาชนะใจคุณแม่ของคุณเบนซ์ได้

■ มิค : ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องให้คุณแม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ว่าไม่ใช่คนเกเร  ช่วงที่คบกันใหม่ ๆ เคยมีคนไปกระซิบบอกคุณแม่เบนซ์ว่า  “มิคพาผู้หญิงอื่นเข้าไปนอนกกในบ้าน”  ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงเลย  พอมิคจะอธิบาย  คุณแม่ก็ไม่ยอมฟัง  บอกว่า  “ไม่ต้องพูด  ฉันไม่ฟัง  เธอเป็นผู้ชายไม่เสียหายนี่”  ผมจึงไม่เถียง  จนทุกวันนี้ผมแต่งงานกับเบนซ์ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน  เบนซ์ถึงกลับไปเล่าให้แม่ฟังว่า  “แม่เลิกฟังเพื่อนคนนั้นได้เลย  เพราะไม่มีใครเคยได้ขึ้นมานอนบนบ้านพี่มิคหรอก  ห้องพ่อแม่เขาก็อยู่ติดกัน  พี่มิครักพ่อแม่มาก ไม่มีวันพาใครมานอนกกที่บ้านอย่างที่เพื่อนแม่บอกแน่นอน” แม่จึงยอมเชื่อ

นอกจากนั้นผมโชคดีที่มีผู้ใหญ่เมตตา  คือ  มี้ (พิศมัยวิไลศักดิ์) และ อาต๋อย (ไตรภพ  ลิมปพัทธ์)  คุณแม่เบนซ์เคารพมี้มาก  พอมี้รู้ว่ามิคคบกับเบนซ์ก็บอกคุณแม่ว่า  “เบนซ์โชคดีแล้วที่คบมิค  เขาเป็นคนน่ารักและเป็นคนดี”  คุณแม่เบนซ์เคยบ่นให้อาต๋อยฟังเพราะสนิทกันว่า  มิคมาจีบเบนซ์อาต๋อยก็บอกว่า  “เบนซ์เป็นแค่นางเอก  ส่วนมิคบ้านเขาเคยเป็นถึงฑูต  เป็นนายพล  มิคก็เรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็กยันโตเขาผิดอะไร  ทำไมต้องไปรังเกียจเขา”  ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่เบนซ์ก็เริ่มใจดีกับมิคมากขึ้น

ที่ผ่านมาผมใช้ความอดทน  เข้าใจ  และจริงใจ  ยอมรับว่ารู้สึกเหนื่อยใจมากที่ทำอะไรก็ไม่เคยเข้าตาคุณแม่เบนซ์เลยสักครั้ง  ผมถึงกับร้องไห้บ่อย ๆ  นานหลายปีกว่าคุณแม่จะค่อย ๆ ยอมรับว่าผมไม่ใช่เป็นคนไม่ดีหรือเจ้าชู้อย่างที่คิดจนกระทั่งวันแต่งงานที่หัวหิน  ผมถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงวิธีปกป้องดูแลเบนซ์ในแบบของแม่

■ เบนซ์ : เรื่องนี้เบนซ์ขอเล่าค่ะ  คือวันแต่งงานพวกเราพ่อลูกวางแผนกันว่าพ่อจะเป็นคนพูดบนเวทีทั้งหมด  แล้วให้แม่พูดเสริมแค่นิดหน่อย  เพราะกลัวว่าแม่อาจเผลอพูดอะไรไม่เข้าหูออกไป  ปรากฏว่าผิดคาด  วันนั้นแม่ขึ้นเวทีแล้วพูดว่า  “แม่ไม่มีอะไรจะพูดมาก  รู้แล้วว่าต่อจากนี้แม่ฝากชีวิตเบนซ์ไว้ที่มิคได้  สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดแม่อยากพูดคำเดียวว่า แม่ขอโทษ”  วันนั้นเบนซ์ร้องไห้โฮด้วยความซาบซึ้ง  แม่รักและดูแลเบนซ์มาอย่างดีที่สุดจริง ๆ

ถ้ามีลูก  คุณเบนซ์จะเลี้ยงเหมือนคุณพ่อคุณแม่ไหมคะ

■ มิค : ผมกับเบนซ์คิดกันไว้แล้วว่าเราจะเลี้ยงลูกแบบที่พ่อแม่เลี้ยงเรามา คือตีอย่างมีเหตุผล  เช่น  ถ้าลูกเป็นเด็กไม่นอบน้อม  ไม่ยกมือไหว้ผู้ใหญ่  นิสัยไม่น่ารัก

■ เบนซ์ : เบนซ์คิดว่าเบนซ์คงเป็นแม่ที่ขี้บ่น  บ่นนู่นนี่ไปเรื่อยแต่ถ้าเรื่องดุหรือเรื่องจริงจังคงยกให้พี่มิคเป็นคนดูแล  เพราะเขาเด็ดขาดกว่าเบนซ์  ลูกคงเชื่อมากกว่า

เบนซ์ มิค

หลังแต่งงานชีวิตเปลี่ยนไปมากไหมคะ       

■ มิค : เปลี่ยนครับ  แต่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  เราคบกันเหมือนเป็นเพื่อน  ไม่ได้ยึดติดว่าเธอเป็นภรรยา  ฉันเป็นสามีเพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะคาดหวังในตัวกันและกันมากเกินไป

■ เบนซ์ : เบนซ์ว่าหลังแต่งงานไปแล้วเรายิ่งต้องใจกว้างให้มากขึ้นอีก  ควรให้พื้นที่กันและกันได้ทำในสิ่งที่รัก  ไม่ใช่รั้งตัวเขาติดไว้กับเราตลอดเวลา  และสิ่งที่สำคัญคือ  ต้องคุยกันแล้วปรับทั้งสองฝ่ายเข้าหากัน

■ มิค : เวลาไม่ชอบอะไรก็จะบอกตรง ๆ  โชคดีที่เบนซ์เข้าใจอะไรง่าย ๆ  เป็นคนพูดตรง ๆ  ไม่คิดมาก  ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์  นิสัยเหมือนผู้ชาย  ตรงกันข้ามกับผมที่นิสัยเหมือนผู้หญิง  ช่างจดช่างจำ  คิดมาก  และแคร์ความรู้สึกคนอื่น  เราเหมือนเป็นความต่างที่ลงตัวกัน

■ เบนซ์ : เบนซ์ต้องขอบคุณ พี่ลูกศร - ธนาภรณ์  จิตต์จำรึก ที่แนะนำดีมาก  พี่ลูกศรบอกว่า  “ผู้หญิงส่วนใหญ่มักอยากเป็นช้างเท้าหน้า  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ  แต่ควรเป็นควาญช้างมากกว่า  ไม่ได้ต้องการจะกดขี่เขา  แต่ควรอำนวยความสะดวก  เข้าใจ  และสนับสนุนสามีในทุกเรื่อง  เช่น  ถ้าเขาอยากไปเที่ยวกับเพื่อน  แล้วเราไม่ให้ไป  เขาจะรู้สึกไม่ดี  เราไม่ควรทำอย่างนั้น  ควรปล่อยให้เขาไป  และเราต้องไปกับเขาด้วย  หรือถ้าวันไหนเราทำงานมาเหนื่อย ๆ  แล้วสามีชวนไปดูหนัง  ก็ควรทิ้งความเหนื่อยแล้วไปดูหนังกับเขา  เพราะถ้าเราปฏิเสธเขาเรื่อย ๆ  คราวหน้าเขาจะไม่ชวนเราอีก  ซึ่งเสี่ยงมากที่เขาจะไปดูกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ขี้เหนื่อยเหมือนเรา  แล้วครอบครัวก็จะห่างเหินกันออกไป  ตรงกันข้ามถ้าเราไปกับสามีทุกครั้ง  เขาก็จะมีความสุขมาก  เพราะเราไม่เคยขัดใจ  อยากทำอะไรก็ได้ทำ  ยิ่งกว่านั้นเวลาเขาอยากทำอะไร  เขาก็จะนึกถึง  อยากชวนเราไปด้วย  ครอบครัวก็อบอุ่น”  หนูฟังแล้วรู้สึกขอบคุณพี่ลูกศรมาก

■ มิค : ผมก็โชคดีไปด้วย  หลังจากคุยกับพี่ลูกศร  เบนซ์ก็ชวนมิคขี่มอเตอร์ไซค์ไปกินข้าวข้างนอก  โอ้โห  ผมดีใจมากไม่เคยคิดเลยว่าพรชิตาจะพูดคำนี้ออกมา  ผมรีบไปซื้อหมวกกันน็อกแล้วพาภรรยาขี่มอเตอร์ไซค์ไปกินข้าว  มีความสุขมาก  ผมชอบรถมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว  แต่เบนซ์กลัวไม่กล้าซ้อน  ผมเลยไม่ค่อยได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปไหน  และที่ตื่นเต้นกว่านั้น  ไม่นานเบนซ์ก็ดาวน์มอเตอร์ไซค์คันใหม่ให้ด้วยช่วงนั้น พี่อ๊อฟ - พงษ์พัฒน์ โทร.มาแซวใหญ่เลย (หัวเราะ)

หลังแต่งงานได้ดูแลคุณพ่อคุณแม่บ้างไหมคะ

■ มิค : ดูแลพ่อแม่ทุกวันครับ  ทั้งสุขภาพ  อาหาร  และจิตใจ  ที่บ้านมิคเราสนิทกันมาก  มิคกอดหอมพ่อแม่ทุกวันออกมาข้างนอกก็โทร.หาท่านแทบทุกชั่วโมง  กินข้าวด้วยกันทุกเย็นถ้าไม่มีใครติดธุระที่ไหน  พอแต่งงานแล้วเบนซ์มาเป็นสมาชิกคนใหม่ในบ้าน  ยิ่งอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม

■ เบนซ์ : หลังแต่งเบนซ์ย้ายมาอยู่บ้านพี่มิค  แต่ก็ยังไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านพ่อแม่และบ้านพี่มิค  เบนซ์ไม่อยากย้ายออกมาเลย  จะดูเหินห่างเกินไปสำหรับบ้านเบนซ์  เพราะเบนซ์อยู่กับพ่อแม่มาตลอด  เมื่อก่อนเบนซ์ให้แม่ดูแลเรื่องเงินให้ทุกบาททุกสตางค์  แทบไม่ถือเงินเอง  ก่อนแต่งแม่ยังขู่พี่มิคเลยว่า  “แต่งได้  แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องให้แม่เก็บเหมือนเดิม  ให้สามีเลี้ยง”

■ มิค : มิคเลี้ยงได้อยู่แล้วครับ  ทุกวันนี้เงินเบนซ์ก็คือเงินเบนซ์  แต่เงินมิคคือเงินเรา (หัวเราะ)  ผมไม่ได้รวยครับ  แต่สามารถเลี้ยงดูเบนซ์ได้

■ เบนซ์ : เมื่อก่อนเบนซ์ยกเงินให้แม่ดูแลทั้งหมด  พอแต่งงานแล้วเบนซ์ก็ปรับเป็นให้เงินแม่ก้อนใหญ่ทุกเดือนแทนเพราะไม่อยากให้แม่รู้สึกไม่ดี  ส่วนเงินที่เหลือเบนซ์ก็เก็บเอาไว้สำรองเผื่อใช้ในอนาคต

ใช้หลักธรรมอะไรในการประคองชีวิตคู่

■ มิค : ให้อภัยครับ  แล้วก็มีสติ  เข้าใจว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่  และดับไป  เพราะฉะนั้นจะใช้ชีวิตเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย  ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด  ทั้งในฐานะสามีและฐานะลูก  ถ้าวันนี้ตายไปจะไม่เสียดาย  เพราะวันนี้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด  ไม่เหลืออะไรติดค้างในใจแล้ว

■ เบนซ์ : เหมือนกันค่ะ  เมื่อก่อนเป็นคนไม่ค่อยบอกรักแต่พี่มิคจะสอนเลยว่าเข้าใจผิดนะ  เราควรบอกรักกันทุกวันไม่ใช่พูดเฉพาะวันที่เราอยากพูดเท่านั้น  และควรมอบสิ่งดี ๆ ให้คนที่เรารักทุกวันด้วย  เพราะไม่รู้ว่าจะจากกันเมื่อไหร่  อาจเป็นพรุ่งนี้ก็ได้  ไม่มีใครรู้  ดังนั้นต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด  จะได้ไม่เสียใจภายหลัง  เบนซ์เอาเรื่องนี้มาปรับใช้กับทุกคน  ทุกวันนี้เบนซ์กอดและหอมพ่อแม่ทุกวัน  ปกติบ้านเบนซ์ไม่ค่อยแสดงออกเรื่องความรักกันสักเท่าไหร่  จนกลายเป็นว่าทุกวันนี้พ่อและแม่ก็กอดหอมเบนซ์ทุกวันด้วย  เรามีความสุขกันมาก

■ มิค : ทุกวันนี้ถ้าผมเข้าบ้านเบนซ์  สิ่งแรกที่ต้องทำคือกอดคุณแม่เบนซ์ครับ  ตลกมาก  ถ้าวันไหนผมทำอย่างอื่นก่อนคุณแม่มีงอนนะ  ต้องรีบเข้าไปกอดก็จะหายงอนครับ (ยิ้ม)

วิธีทำบุญในแบบคุณเบนซ์และคุณมิคเป็นอย่างไรคะ

■ มิค : เราทำบุญกันเป็นประจำ  ส่วนใหญ่เน้นทำทานมากกว่า

■ เบนซ์ : เราชอบไปใส่บาตรทำบุญที่วัดใกล้บ้าน  ไปกันทั้งครอบครัว  ทุกอาทิตย์เลย  นอกนั้นก็จะทำบุญปล่อยโคกระบือบ้าง  เลี้ยงอาหารและบริจาคเงินให้เด็ก ๆ ยากไร้  แต่ถ้ามีเวลาจริง ๆ ก็จะไปถือศีลปฏิบัติธรรม  รู้สึกดีมาก เหมือนได้ชาร์จแบตให้ตัวเอง

■ มิค : เราสองคนเชื่อมาตลอดว่าการทำบุญไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองมากมาย  ถ้าเราไม่พร้อมก็ไม่ควรทำบุญแล้วสร้างความลำบากให้ตัวเอง  เพราะนอกจากไม่ได้บุญแล้ว  ยังเป็นบาปด้วย  อาจใช้วิธีทำบุญด้วยการลงแรง  ช่วยเหลือคนอื่นหรืออาจบริจาคโลหิตก็ได้  และอีกบุญหนึ่งที่เราสองคนทำเป็นประจำคือ  ทำบุญกับพ่อแม่  หรือพระอรหันต์ของเราเองนี่แหละ  แค่ทำให้ท่านมีความสุขทั้งกายและใจ  เราก็มีความสุขแล้ว  และยังได้บุญทันตาด้วย  ไม่ต้องรอชาติหน้าหรือชาติไหนเลย

            ความรักแท้แม้จะมีอุปสรรคหนักหนามาขัดขวางเพียงใด  ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์

เรื่อง ชลธิชา  แสงใสแก้ว  ภาพปก / ภาพประกอบ วรวุฒิ  วิชาธร  ผู้ช่วยช่างภาพ ฉัตรพงฒ์  พุ่มเรือง,  อภิวัฒน์  ทิพย์สุวรรณ สไตลิสต์ ณัฏฐิตา  เกษตระชนม์  แต่งหน้า รุจจกรณ์  อุดรพันธ์ธนกุล  ทำผม ภัทรานิษฐ์  จันทร์กุลเศรษฐ์

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.