เรื่องจริงน่าเศร้า เพราะสิ้นหวัง ไร้ทางออก จึงคิดเป็น ‘นางเอกไซด์ไลน์’
***** บุคคลในภาพเป็นเพียงตัวแสดงที่จำลองขึ้นตามเนื้อเรื่องเท่านั้น*****
เราทุกคนคงเคยดูละครกันมาแล้ว ในละครมักมีพระเอกหน้าตาหล่อเหลา
เป็นสุภาพบุรุษ และมีนางเอกที่งดงามบริสุทธิ์ดุจดั่งนางฟ้า
แต่จะผิดมากไหม หากฉันอยากจะขอโอกาสเป็น “นางเอก” สักครั้ง
ทว่า…นางเอกละครเรื่องนี้คงไม่ใช่นางฟ้า แต่เป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ
ที่กำลังสิ้นหวังและหาทางออกให้ชีวิตไม่เจอ จนต้องทำในสิ่งที่นางเอกเขาไม่ทำกัน…
1…2…3 ฉันกลั้นหายใจ ก่อนกดแป้น Enter เพื่อส่งข้อความไปยังโปรแกรมแชต (MSN) ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้เข้ามาพูดคุยโต้ตอบกันผ่านสังคมออนไลน์
“ขอผู้ใหญ่ใจดี ช่วยเลี้ยงดูเดือนละ 20,000 บาทค่ะ”
ปกติลูกผู้หญิงคงไม่มีใครคิดอยากใช้ร่างกายของตัวเองแลกเปลี่ยนกับเงินทอง นอกเสียจากว่าไม่มีทางเลือกจริง ๆ ฉันเองก็ไม่เคยมีความคิดจะทำอาชีพนี้เลยสักนิด แต่ปัญหาหนี้ก้อนโตของครอบครัวที่เกิดจากการที่แม่ต้องกู้ยืมเงินมารักษาฉันช่วงที่ฉันป่วยหนักบีบบังคับให้ฉันต้องทำแบบนี้
ความจริงละครชีวิตของฉันถูกเขียนให้เป็นนางเอกผู้อาภัพมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดีเพราะพ่อมีร้านข้าวต้มและเป็นเจ้าของโรงงาน แต่หลังจากที่พ่อจากไป ญาติ ๆ ฝ่ายพ่อก็เริ่มแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์เราสองคนแม่ลูก เพราะบ้านที่เราอยู่เป็นบ้านที่พ่อสร้าง เมื่อไม่มีพ่อแล้ว ในสายตาของญาติที่คอยจ้องจะฮุบสมบัติพ่อ เราสองคนจึงมีฐานะไม่ต่างจากผู้อาศัย จนสุดท้ายแม่ก็ทนไม่ไหว ต้องพาฉันออกมา ทิ้งมรดกทั้งหลายไว้ให้ญาติฝั่งพ่อรับไป
โชคดีที่แม่ยังมีเงินเหลือติดตัวอยู่บ้าง ท่านจึงพาฉันเดินทางกลับไปจังหวัดบ้านเกิด และสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่กันสองคนแม่ลูก หลังจากนั้นแม่ก็ทำงานรับจ้างทั่วไป เพื่อนำเงินที่ได้ส่งเสียฉันจนเรียนจบชั้น ม. 6 แม่คอยสอนฉันเสมอว่า “เราไม่ใช่ขอทาน ชีวิตคนเราไม่ตกต่ำไปตลอดหรอกต้องดีขึ้นสักวัน…ลูกต้องขยัน ตั้งใจเรียนให้ดีก็แล้วกัน”
ด้วยความรักของแม่ ทำให้ฉันพยายามไม่สร้างปัญหา ขยันและตั้งใจเรียนตามคำสอนของแม่ จนช่วงก่อนขึ้นชั้น ม. 4 ฉันก็สอบชิงทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน (AFS) ได้ไปเรียนที่ประเทศเยอรมนีเกือบ 1 ปี ด้วยความยากจน ฉันไม่มีแม้กระทั่งกระเป๋าเสื้อผ้าอย่างคนอื่น ฉันยังจำภาพตัวเองได้ดี…เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบกลังเบียร์ที่อัดแน่นไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว พร้อมกับกระสอบใส่เสื้อผ้าเดินเด๋อด๋าอยู่ที่สนามบินในแฟรงก์เฟิร์ต แต่หลังกลับจากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนและเรียนจบ ม. 6 แล้ว ด้วยความที่ไม่มีเงินทำให้ฉันไม่มีโอกาสได้เรียนต่อทั้ง ๆ ที่สอบเรียนพยาบาลได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉันยังไม่สิ้นหวังและพยายามหาทางออกให้ตัวเอง ด้วยการขออนุญาตแม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯเพราะอยากหางานทำ เพื่อเก็บเงินไว้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ส่วนอีกใจฉันก็อยากไปอยู่กับผู้ชายที่กำลังคบหาอยู่ด้วย
การมาอยู่กรุงเทพฯเป็นช่วงชีวิตที่ลำบากที่สุด ช่วงสองเดือนแรกที่ยังไม่มีงานทำฉันต้องซื้อลูกชิ้นทอด 20 บาท แล้วแบ่งกินให้ได้ทั้ง 3 มื้อ ฉันพยายามตระเวนหางานทำทุกวัน จนในที่สุดก็ได้งานเป็นพนักงานในร้านขายผลไม้ของห้างดังแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นฉันยังติดต่อกับผู้ชายที่คบหาด้วยตลอดเวลา เราเจอกันบ่อยครั้งจน
พ่อแม่ของฝ่ายชายรับรู้ ครอบครัวของเขาให้ความรักและเอ็นดูฉันเป็นอย่างดี
ถ้าเป็นบทละคร ผู้เขียนมักจะเขียนให้ตัวละครเอกต้องเจอวิกฤติที่ทำให้ชีวิตตกต่ำลงจนถึงที่สุดเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากคนดู สำหรับฉัน จุดนั้นคงเป็นวันที่ ฉันท้องกับผู้ชายที่ฉันรักซ้ำร้ายกว่านั้นคือครรภ์ของฉัน “เป็นพิษ” ทำให้ก้อนเลือดที่กำลังจะสร้างเป็นตัวอ่อนแตกตัวกลายเป็นก้อนเลือดเม็ดเล็ก ๆ กระจายไปทั่วร่างกาย ซึ่งหากโชคร้ายไปอุดตันที่หลอดเลือดหัวใจ ฉันก็มีสิทธิ์ตายได้ในทันที
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ภาวะครรภ์เป็นพิษส่งผลให้ร่างกายของฉันทรุดลงอย่างหนักหัวใจเต้นแรง เวลาขยับตัวจะรู้สึกเจ็บปวด ในตอนนั้นไม่มีใครยื่นมือมาช่วยฉันเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายคนนั้นหรือแม้แต่ครอบครัวของเขา…มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คอยเป็นห่วงฉันเสมอ…แม่ฉันนั่นเอง
เมื่อแม่รู้ข่าว ท่านขอร้องให้ฉันกลับบ้านทันทีเพื่อรักษาตัวฉันจึงลาออกจากงานและกลับบ้านต่างจังหวัด เมื่อถึงบ้าน แม่รีบพาฉันไปโรงพยาบาลทันที เมื่อหมอตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้วก็บอกกับฉันว่า “ถ้ามาช้ากว่านี้อีกสองวัน คุณคงไม่รอด” ฉันและแม่รู้สึกตกใจไม่น้อย โชคดีจริง ๆ ที่มาทันเวลา…หลังจากนั้นฉันก็ต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อรอการผ่าตัดต่อไป
หมอบอกว่าการผ่าตัดอาจเสียเลือดมาก จึงจำเป็นต้องใช้เลือดสำรอง…แต่โชคร้ายเพราะเลือดของฉันเป็นกรุ๊ปพิเศษ (AB rh-) และโรงพยาบาลนี้ก็มีเลือดกรุ๊ปนี้สำรองไว้ไม่พอ หมอจึงไม่สามารถกำหนดวันผ่าตัดให้ฉันได้
ตอนนั้นฉันทำได้แค่รอเวลา…รู้สึกเจ็บปวดทั้งกายและใจ คนรักก็ไม่เคยมาดูดำดูดี แล้วยังเจ็บปวดร่างกายจากภาวะครรภ์เป็นพิษอีก ฉันไม่สามารถนอนได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะถ้านอน ฉันจะปวดท้องอย่างแรง สิ่งเดียวที่ทำได้คือนั่ง…นั่งตลอดเวลาแม้ในเวลาหลับ!
วันหนึ่งขณะกำลังรอเลือดสำรองอยู่ ฉันมองออกไปนอกห้องพักผู้ป่วย เห็นแม่เดินเข้าไปคุยกับคนไข้และญาติของคนไข้ที่มานั่งรอคิวรับการรักษาทีละคน ๆ ท่านคุยกับพวกเขาราวกับรู้จักกันมานมนาน ไม่เพียงเท่านั้น แม่ยังยกมือไหว้ทุกคนที่คุยด้วย ฉันไม่รู้ว่าแม่คุยเรื่องอะไร แต่เดาเอาว่าคงเป็นเรื่องของฉันแน่ ๆ เพราะท่านชี้ไม้ชี้มือมายังห้องที่ฉันนอนรักษาตัวอยู่
ฉันเพิ่งมารู้ทีหลังว่า แม่เดินไหว้คนทั้งโรงพยาบาลและขอร้องคนทั้งหมู่บ้านให้ช่วยมาบริจาคเลือดให้ฉัน ฉันน้ำตาแทบร่วงนึกสงสารแม่จับใจ…แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครบริจาคเลือดให้ เวลาผ่านไปนานหลายวันจนฉันเกือบ
จะสิ้นหวัง แต่ในที่สุดก็มีคนใจดีบริจาคเลือดให้ ทำให้หมอกำหนดวันผ่าตัดได้
การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีแม้ตอนแรกหมอจะบอกว่าฉันมีโอกาสรอดเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แถมยังโชคดีสองชั้นเพราะระหว่างกำลังผ่าตัด หมอเจอก้อนเนื้อร้ายเข้าโดยบังเอิญจึงตัดสินใจผ่าตัดออกไปด้วย
ฉันต้องนอนพักฟื้นที่ห้องไอซียู 1 เดือน และที่ห้องพักผู้ป่วยอีก 2 เดือน ระหว่างอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย แม่ดูแลฉันทุกอย่างทั้งเช็ดตัว สระผม พาไปเข้าห้องน้ำ ดูแลเรื่องการขับถ่าย ฉันรู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่แม่ทำให้ฉันเป็นอย่างมาก ตอนเป็นเด็กแม่ก็เคยดูแลฉันอย่างนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อโตแล้ว แทนที่ฉันจะได้ดูแลท่าน ท่านกลับต้องมาดูแลฉันอีก…คิดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องเกิดอีกกี่ชาติจึงจะทดแทนพระคุณของท่านได้หมด
หลังรอดพ้นความตายมาได้ ชีวิตของฉันน่าจะเหมือนฟ้าหลังฝน แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะฉันมีภาระต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลจำนวนมากคืนให้คนที่แม่ไปกู้ยืมเขามา และนั่นทำให้ฉันต้องเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ…อีกครั้ง
การมากรุงเทพฯครั้งนี้ ฉันได้งานเป็นผู้ช่วยครูที่โรงเรียนสอนพิเศษแห่งหนึ่ง ฉันตั้งใจไว้ว่าจะเรียนต่อครู เพื่อกลับไปสอนหนังสือที่บ้านและจะได้ดูแลแม่ที่เริ่มแก่ลงเรื่อย ๆ
แต่แม้จะผ่านไปหลายเดือน เงินที่ฉันหาได้ก็ยังไม่พอใช้หนี้ที่นับวันดอกเบี้ยจะทบต้นทบดอกขึ้นมามากมาย ฉันพยายามหางานใหม่เพื่อให้ได้เงินเดือนเยอะ ๆ แต่ก็ไม่มีใครให้เงินเดือนคนที่เรียนจบแค่ ม. 6 มากมายอย่างที่ฉันต้องการ สุดท้ายเมื่อมองไม่เห็นหนทางที่จะปลดหนี้ก้อนโตนี้ได้ ฉันจึงตัดสินใจทำงาน “ไซด์ไลน์” ด้วยการขายบริการทางเพศทางอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุผลที่ว่า
“ยังไงซะ ร่างกายฉันก็พังเจ็บป่วยจนต้องผ่าตัดผ่านความเป็นความตายมาแล้ว…ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะเสียอีก” หลังจากตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ฉันก็เข้าไปตั้งหัวข้อในโปรแกรมแชตว่า
“ขอผู้ใหญ่ใจดี ช่วยเลี้ยงดูเดือนละ 20,000 บาทค่ะ”
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
หลังจากพิมพ์ข้อความนี้ส่งไปไม่นานนัก ก็มี “ผู้ใหญ่ใจดี” ติดต่อเข้ามาจริง ๆ
“คุณมีปัญหาอะไร มีอะไรให้ผมช่วยเหลือหรือเปล่า ผมดูแล้วคุณไม่น่าจะเป็นคนที่คิดทำอะไรแบบนั้น”
แค่ประโยคแรกที่ส่งเข้ามาก็ทำให้ฉันประหลาดใจเป็นอย่างมาก…มันดูเหมือนไม่ใช่ข้อความของคนที่จะมาซื้อบริการจากฉันเลยนี่นา
“ฉันลำบากจริง ๆ ไม่ไหวแล้ว อยากได้เงินเรียนต่อ อยากได้เงินไปใช้หนี้ ช่วยฉันหน่อยเถอะ”
ฉันตอบเขาไป
“งั้นผมจะช่วยคุณ” ฉันนั่งอึ้งกับคำตอบของเขา รู้สึกคลางแคลงใจ ไม่คิดว่าจะมีใครในโลกนี้ที่จะมาช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ดังนั้นฉันจึงตอบปฏิเสธความช่วยเหลือของเขาไป แต่เขากลับตอบมาว่า
“อย่าปฏิเสธผมเลย ผมไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ เอาไว้คุณมีเมื่อไรค่อยเอามาคืนผมก็ได้ ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้หรอก แต่เราเลือกที่จะใช้ชีวิตได้…เงิน 50,000 ที่ผมจะให้คุณ ไม่ใช่ให้เอาไปเก็บไว้เฉย ๆ แต่อยากให้คุณเอาไปลงทุนทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้มีเงินงอกเงยขึ้นมา เชื่อผมเถอะ ผมยินดีให้คุณด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ”
ช่างเหมือนกับละครหลังข่าวที่พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกได้ทันเวลา…เมื่อพูดคุยกับเขาผ่านโปรแกรมแชตได้สักพักจนมั่นใจว่าเขาหวังดีกับฉันจริง ๆ ฉันจึงตกลงรับเงินจากเขา ก่อนจะมารู้ภายหลังว่าเขาคือผู้ปกครองของนักเรียนที่โรงเรียนสอนพิเศษซึ่งฉันทำงานอยู่นั่นเอง เขามีอีเมลของฉัน เพราะจะได้เอาไว้ติดต่อสอบถาม เรื่องหลานที่เรียนอยู่ที่นี่
ฉันนำเงินที่ได้ไปลงทุนซื้อของมาขายตามตลาดตามคำแนะนำของเขา ทำให้มีกำไรจนสามารถคืนเงินให้เขาได้ภายใน 7 เดือนและยังมีเงินเหลือพอที่จะส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรีอีกด้วยแต่ที่โชคดีมากกว่านั้นคือ หลังจากเขาช่วยเหลือเจือจุนฉันได้พักใหญ่ เราสองคนก็ตัดสินใจคบหาดูใจกันและช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด
ทุกวันนี้ฉันมีความสุขกับชีวิตใหม่ที่หลายคนมอบให้ ฉันไม่คิดว่าจะมีใครโชคดีเท่าฉันอีกแล้วที่มีโอกาสรอดพ้นความตายมาอย่างฉิวเฉียด มีแม่ที่พร้อมทุ่มเททุกอย่างเพื่อลูก และมีคนรักที่เอื้อมมือมาช่วยฉันไว้ได้ทันเวลาราวกับเจ้าชายในฝัน
แม้ละครในชีวิตของฉันจะไม่ได้ดำเนินอย่างมีความสุขทุกช่วงทุกตอน แต่อย่างน้อยตอนท้ายของเรื่องฉันก็รู้ว่าจะกำกับชีวิตตัวเองอย่างไรให้ชีวิตในวันข้างหน้าประสบแต่สิ่งที่ดีงาม…
ข้อคิดจากพระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ
ประสบการณ์คือบทเรียนอันมีค่าของชีวิต ไม่ว่าจะร้ายหรือดีก็เป็นบทเรียนที่ควรนำมาสอนใจ สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีสาเหตุทั้งสิ้นมิใช่โชคดีโชคร้ายหรือเกิดจากชะตาชีวิตได้ลิขิตไว้ มีแต่ตนเป็นผู้ลิขิตชีวิตของตน
เหตุที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนทุน AFS ก็เพราะเป็นเด็กเรียนดี เหตุที่ตัดสินใจเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ แท้จริงแล้วก็อยากมีอิสระและได้ใกล้ชิดกับแฟน ส่วนข้ออ้างต้องการหางานเพื่อเก็บเงินเรียนต่อ เป็นเพียงเหตุผลรองยกมาอำพรางแรงจูงใจที่แท้จริง การตั้งครรภ์เป็นพิษมีเหตุมาจากการปล่อยตัวปล่อยใจโดยไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ การรอดชีวิตมาได้มีเหตุมาจากมีแม่แสนดีที่ทุ่มเทความรักความห่วงใยให้ การคิดจะขายตัวมีเหตุมาจากเป็นคนคิดอะไรง่าย ๆ มองแต่ด้านที่จะได้อย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงผลเสียอันมากมายที่จะเกิดขึ้น เหมือนตอนที่คิดมาหางานทำในกรุงเทพฯ การที่มีผู้ใหญ่ใจดีเข้ามาอุปการะไว้ มีเหตุมาจากเขาได้เห็นบุคลิกและพฤติกรรมของเราที่โรงเรียนสอนพิเศษ การที่เขาสานความสัมพันธ์อันดีกับเรา เพราะเราเป็นคนมีสัจจะ ขยันทำมาค้าขายคืนเงินเขาได้
ชีวิตต่อไปยังอีกยาวนาน จะเป็นเช่นใดย่อมขึ้นอยู่กับเหตุที่จะสร้างขึ้น จงสร้างแต่ความดีให้มาก ๆ สิ่งใดไม่ดีต้องหักห้ามใจอย่าทำ เพราะความชั่วจะนำทุกข์ภัยมาให้ มีแต่ความดีเท่านั้นที่จะนำสิ่งที่ดีมาสู่ชีวิต
เรื่อง ฟ้าสีคราม เรียบเรียง ปิโยรส ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ สุธีร์ รติวัฒน์บุญญา
แบบ จันทร์เพ็ญ บุตรดา, บุณฑริกา วันขันต์