ทุกขัง

True Story : กว่าฉันจะสอบผ่านวิชา “ ทุกขัง ”

True Story : กว่าฉันจะสอบผ่านวิชา “ ทุกขัง ”

หากเทียบกับบรรดาเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน ฉันน่าจะเป็น “ผู้ใหญ่” เร็วกว่าใคร เพราะมีโอกาสได้ทำงานเก็บประสบการณ์ตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ว่าจะถ่ายละคร ถ่ายโฆษณา เป็นพริตตี้ พิธีกร แม้กระทั่งเป็นผู้ประกาศข่าว แต่ละงานได้ค่าตอบแทนสูง มีหน้ามีตา มีคนมาห้อมล้อมเอาใจ ง่ายต่อการหลงระเริงเป็นที่สุด…

ทว่าฉันยังเป็น “เกรซ” คนเดิมเสมอ เวลางานก็ทำงานอย่างเดียว พอเลิกงานก็กลับมาอยู่กับความเป็นจริง ไม่เพ้อฝัน ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างที่พ่อแม่ปลูกฝังมาตลอด

แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงแรกก็เดินทางมาถึง เมื่อฉันคลอดลูกชายหน้าตาน่ารักน่าชัง การได้เห็นพัฒนาการของลูกทุกๆ วัน ทำให้คนบ้างานอย่างฉันตัดสินใจหันหลังให้วงการบันเทิง เพราะอยากทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับลูก ฉันกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อลูกชายอายุได้สองขวบ

แม้จะห่างหายไปนานและงานที่กลับมาทำคราวนี้ไม่ใช่งานในวงการบันเทิง แต่ความบ้างานของฉันก็ไม่ได้ลดลงเลย แถมยังหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะฉันต้องจัดสรรตารางเวลาเพื่อจะได้ดูแลลูก บ้าน งาน…จนในที่สุดแทบไม่มีเวลาดูแลสามีเลย

จากที่เคยอยู่ด้วยกันอย่างประนีประนอม ไม่เคยทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว ฉันกับสามีก็เริ่มมีปากเสียง ทะเลาะกันรุนแรงแทบทุกวัน แต่ต่อให้ทะเลาะกันเป็นร้อยเป็นพันครั้งก็ไม่เคยเลวร้ายเท่ากับวันนั้น…วันที่ฉันจับได้ว่า…สามีนอกใจ!

เรื่องเกิดขึ้นตอนที่ฉันเปิดกระเป๋าโน้ตบุ๊คของสามีเพื่อหยิบเอกสารบางอย่าง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงส่งข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือเครื่องสำรองของสามี ความจริงที่ฉันได้พบหลังจากกดโทรศัพท์ดูก็คือ…

มีผู้หญิงส่งข้อความมาหาสามีของฉัน! ฉันไล่สายตาอ่านไปเรื่อยๆ ใจเต้นตุ้บๆ คล้ายจะเป็นลม ข้อความที่ส่งมามีทั้งบอกรัก คิดถึง แสดงความเป็นห่วงเป็นใยสารพัด วินาทีนั้นโลกแทบจะพังทลายลงต่อหน้า มือไม้ฉันสั่นไปหมด คำถามผุดขึ้นในใจทันทีว่า “นี่หรือรางวัลตอบแทนจากการที่เราทุ่มเทเพื่อลูกและครอบครัว”

ฉันพยายามตั้งสติ แล้วจดเบอร์โทรศัพท์ของผู้หญิงคนนั้นไว้ พลางสะกดอารมณ์ไม่ให้ร้องไห้ออกมา ทั้งที่น้ำตาแห่งความเจ็บปวดเอ่อล้นเต็มหัวใจ คืนนั้นทั้งคืนฉันนอนไม่หลับ เพราะมัวแต่คิดว่า “จะทำอย่างไรต่อไป”

วันรุ่งขึ้นฉันตัดสินใจคุยกับผู้หญิงของสามีแบบตรงไปตรงมา เมื่อเธอรู้ความจริงว่าถูกสามีของฉันหลอกและตัวเองตกเป็นมือที่สาม เธอรู้สึกผิดไม่น้อย ส่วนฉันก็ได้แต่บอกตัวเองว่า คงเป็นเพราะเวรกรรมที่เราสามคนเคยทำร่วมกันมา ใครจะมาก่อนมาหลัง ใครถูกใครผิด ฉันไม่สนใจ

แต่สิ่งที่ฉันรับไม่ได้เลยก็คือ “ความไม่ซื่อสัตย์” ของสามี เย็นวันนั้นฉันจึงตัดสินใจพาลูกหนีไปอยู่บ้านพ่อแม่ เพื่อให้เวลาสามีตัวแสบได้ทบทวนตัวเอง แต่เขาไม่สามารถ “เลือก” ได้ ฉันจึงตัดใจยุติปัญหาทั้งหมดด้วยการเป็นฝ่ายขอหย่าเสียเอง!

แม้สามีจะยินยอมหย่าให้โดยดี แต่ฉันก็ยังกังวลว่าเขาจะมาแย่งลูกไป ทุกๆ วันของฉันมีแต่น้ำตา ตื่นนอนก็ร้องไห้ ก่อนนอนก็ร้องไห้ เห็นหน้าลูกก็ยิ่งร้องไห้ ขับรถไปทำงานก็ร้องไห้ไปตลอดทาง พอถึงออฟฟิศก็ปาดน้ำตาทิ้งและแต่งหน้าใหม่ เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ฉันร้องไห้อย่างหนักอยู่สามวันเต็มๆ สภาพจิตใจย่ำแย่ถึงขีดสุด แต่จู่ๆ ก็คิดได้ว่า “ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าเรายังเป็นอย่างนี้ ชีวิตจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร วันนี้เรายังมีพ่อ มีแม่ มีลูก และมีคนที่รักอีกมากมาย เราจะทำให้ทุกคนพลอยทุกข์ใจไปด้วยไม่ได้

“พอกันที วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะร้องไห้!”

เช้าวันต่อมา ฉันกลับมาเป็นเกรซคนเดิม ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว…อย่างน้อยอดีตสามีก็ยังรักลูก ซึ่งถือว่าดีมากแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือจัดสรรวันเวลาให้พ่อลูกได้อยู่ด้วยกัน ส่วนฉันก็ต้องเป็นเพื่อนกับผู้หญิงคนใหม่ของเขาให้ได้ เธอจะได้เอ็นดูลูกของฉัน ฉันต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเอาไว้ให้ดีที่สุด…เพื่อลูกของฉันเอง ไม่ใช่เพื่อใคร

การกลับมาเป็นโสดอีกครั้งไม่ได้หมายความว่าเราล้มเหลว แต่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้อยู่ดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิด ลูกชายก็จะไม่กลายเป็นเด็กมีปัญหา เพราะเขาจะไม่มีวันเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันอีก

เมื่อชีวิตใหม่เริ่มเข้าที่เข้าทาง ฉันก็เริ่มมองหาความมั่นคงให้ลูกชายคนเดียว จากที่ไม่เคยเล่นแชร์มาก่อน ฉันตัดสินใจลองเล่นดู และด้วยความที่ต้องการจะเก็บเงินก้อน ฉันจึงไม่คิดจะเปียแชร์มาใช้เหมือนคนอื่น แถมถ้ามีใครส่งค่าแชร์ไม่ไหว ฉันก็จะอาสาซื้อต่อ เงินสะสมจากการเล่นแชร์ของฉันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนแตะ 300,000 บาทในเวลาไม่นาน ฉันนึกถึงเงินก้อนนี้ด้วยความอุ่นใจ อนาคตของลูกชายคนเดียวฝากไว้กับเงินสามแสนนี้

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้….เจ้ามือแชร์ “เชิดเงิน” ทั้งหมดหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

พอรู้ข่าวฉันถึงกับเข่าอ่อน เพราะนั่นหมายความว่าเงินที่ฉันเก็บออมมาทั้งชีวิตได้หายวับไปด้วย ฉันตกเป็นเจ้าทุกข์พร้อมกับเพื่อนพนักงานอีกเกือบ 50 คน ทุกคนตัดสินใจแจ้งความ หวังจะเอาผิดเจ้ามือตัวแสบให้ถึงที่สุด แต่มันเป็นความหวังที่เลือนลางและริบหรี่เต็มที

ระหว่างนั้นฉันเครียดหนักจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ในที่สุดจึงตัดสินใจบอกพ่อกับแม่  แม้ท่านจะตกใจแต่ก็ปลอบฉันไม่ให้คิดมาก ส่วนฉันก็พยายามคิดว่า ชาติที่แล้วเราอาจเคยเอาของเขามา ถึงต้องมาชดใช้กรรมกันในชาตินี้ พอคิดได้อย่างนี้ ความเครียดที่สุมแน่นอยู่ในอกก็ค่อยๆ ลดลงทีละน้อยๆ จนในที่สุดฉันก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง

ทว่าผ่านไปไม่ถึงสามเดือน มรสุมทุกข์ก็มาเยือนฉันอีกระลอก คราวนี้เป็นลูกใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาก็ว่าได้…มันคือมหาอุทกภัยปี 2554!

ถ้ายังจำกันได้…แถบปทุมธานีไม่มีหมู่บ้านไหนโด่งดังเท่า “หมู่บ้านไวท์เฮ้าส์” อีกแล้ว บ้านพ่อแม่ของฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้เราจะเตรียมตัวอย่างดี ด้วยการขนของขึ้นไปไว้ชั้นสอง เพราะคิดว่า “เก็บไว้สูงขนาดนี้ ท่วมแค่ไหนก็น่าจะเอาอยู่” แต่เราคาดผิด เพราะไม่นานระดับน้ำก็สูงจนเราต้องรีบย้ายออกจากบ้านแทบไม่ทัน

ฉันขับรถฝ่ากระแสน้ำพาทุกคนไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่นั่นแม้จะไม่ลำบากมากมาย แต่ก็ไม่ได้สุขสบายเหมือนบ้านเรา อดีตสามีจะมารับลูกชายไปอยู่ด้วยให้ได้ แต่ฉันยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ฉันอยากสอนให้ลูกรู้จักความลำบาก รู้จักร่วมทุกข์ร่วมสุขและเป็นกำลังใจให้กัน ไม่ใช่ทิ้งแม่ทิ้งตายายไปสบายคนเดียว”

ระหว่างที่ใช้ชีวิตในฐานะผู้ประสบภัย ฉันพยายามทำทุกวันให้เป็นเรื่องสนุกของลูก เช่น นอนพื้นก็สนุก อาบน้ำรวมกันก็สนุก เข้าแถวเพื่อรับข้าวกล่องก็สนุก ฉันอยากให้ลูกรู้ว่า “ที่ใดที่มีแม่ ที่นั่นคือสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับลูกเสมอ”

ฉันอยู่ในศูนย์พังพิงด้วยความหวังว่า อีกไม่กี่วันระดับน้ำคงจะลดและเราทุกคนก็จะได้กลับบ้าน ทว่าสิ่งที่ฉันได้รับรู้จากเพื่อนบ้านคือน้ำท่วมเกือบจะถึงหลังคาบ้านของเราแล้ว! ข้าวของทุกอย่างที่เราสะสมกันมา ไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ “หมด” ไปกับสายน้ำ ฉันร้องไห้อย่างหนัก รู้สึกว่าโลกทั้งโลกพังทลาย ไหนจะเพิ่งโดนโกงแชร์มาหยกๆ แล้วจู่ๆ บ้านก็มาโดนน้ำท่วมอีก ทำไมชีวิตถึงเลวร้ายอย่างนี้!

น้ำตายังไม่ทันแห้งดี มรสุมทุกข์ลูกใหม่ก็กระหน่ำเข้ามาอีก…ลูกชายคนเดียวของฉันเกิดไข้ขึ้นสูง ตัวร้อนจัด ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลด่วน แถมกลางดึกคืนนั้นพ่อก็โทร.มาบอกฉันขณะเฝ้าดูอาการของลูกอยู่ที่โรงพยาบาลว่า เขื่อนกั้นน้ำที่ธรรมศาสตร์แตก! ใจฉันตอนนั้นห่วงหน้าพะวงหลังไปหมด เพราะรถคันเก่งซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้จอดอยู่บริเวณนั้น รุ่งเช้าเมื่ออาการของลูกดีขึ้น ฉันก็รีบบึ่งไปที่ลานจอดรถทันที

ฉันแทบไม่เชื่อสายตาว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นเรื่องจริง…ทั่วทั้งลานจอดรถที่เดิมที่เคยมีรถจอดเป็นพัน ๆ คัน ตอนนี้เหลือรถของฉันเพียงคันเดียว และระดับน้ำก็ท่วมสูงจนเกือบจะมิดหลังคาแล้ว! เป็นอันว่า สายน้ำได้ปล้นเอาสมบัติชิ้นสุดท้ายของฉันไปจนได้ ฉันไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ!

ฉันเดินกลับไปหาพ่อแม่ ร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตาจะไหล พวกท่านสวมกอดฉันไว้พลางปลอบใจว่า “ช่างมันนะลูกทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ บ้านก็จมไปแล้ว รถก็จมไปแล้ว คิดซะว่าเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ตอนนี้หนูคิดถึงลูกก่อนดีกว่า”

คำพูดของท่านทำให้ฉันตัดสินใจทิ้งความเศร้าไว้ตรงนั้น แล้วรีบกลับไปหาลูกที่โรงพยาบาลทันที เพราะฉันรู้แล้วว่า ลูกคือสมบัติล้ำค่าที่สุดในชีวิตของฉัน

เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างผ่านพ้นไป ชีวิตของฉันก็กลับมา “เริ่มต้นจากศูนย์” แรกๆ อาจจะลำบากหน่อย เพราะต้องปรับตัวใหม่หลายอย่าง แต่ด้วย “ความรักและกำลังใจดีๆ” ที่ทุกคนในครอบครัวมีให้กัน รวมทั้งน้ำใจไมตรีจากเพื่อนฝูงและญาติๆ ไม่ช้ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นในบ้านอันแสนอบอุ่นของเราอีกครั้ง

จากนี้ไป ไม่ว่ามรสุมทุกข์จะกระหน่ำเข้ามาอีกสักกี่ลูก ฉันก็พร้อมที่จะสู้กับมัน เพราะฉันสอบผ่าน “วิชาทุกขัง” มาแล้วถึง 3 ครั้ง และที่สำคัญคือจนถึงวันนี้ใบหน้าของฉันก็ยังมีรอยยิ้มอยู่เสมอ… 

 

ข้อคิดจากพระอาจารย์ ดร.พระมหาบวรวิทย์  รตนโชโต

ใครกันหนาที่เรียกมนุษย์สองเท้าว่า “คน” ช่างเหมาะสมเหลือเกิน เพราะคนปนเปกันไปหมด สับสนวุ่นวาย หาต้นหาปลายไม่ได้ ไม่ว่าจะมีฐานะร่ำรวยยากจนอย่างไร ล้วนมีปัญหาให้ต้องผจญและแก้ไขกันไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งที่รู้ล่วงหน้าและไม่ทันตั้งตัว

พระพุทธองค์ตรัสว่า ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไป ตราบใดที่เรายังเกิดอยู่ ตราบนั้นทุกข์ทั้งปวงย่อมต้องประสบพบพาน ไม่มากก็น้อยตามเหตุปัจจัย ผู้รู้พระสัทธรรมอย่างกระจ่างแจ้งเท่านั้นที่จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

ความทุกข์ ความสุข ความผิดหวัง ความสมหวัง โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคและความสำเร็จนั้น  ล้วนมีตัวแปรหรือมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เป็นไปได้หลากหลาย ตัวเราต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ

บางครั้งเกิดจากสภาพแวดล้อม ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงและผันผวน (กฎแห่งอุตุ) บางครั้งเกิดจากพันธุกรรมที่ติดมาแต่บรรพบุรุษ (กฎแห่งพันธุกรรม) บางครั้งเกิดจากกรรม คือการกระทำของตัวเองทั้งในอดีตและปัจจุบัน (กฎแห่งกรรม) บางครั้งเกิดจากใจตัวเองปรุงแต่งเสริมสร้างให้เป็นไป (กฎแห่งจิต) บางครั้งก็เกิดจากพฤติกรรมการกินอาหาร (กฎแห่งอาหาร)

ทั้งหมดล้วนเป็นกฎแห่งความเป็นจริง  ที่มีทั้งเหตุและผลอยู่ในตัวของมันเอง เรียกว่า “กฎแห่งสัจธรรม”

 

เรื่อง : ปาปิรัส  

ที่มา : นิตยสารซีเคร็ต

ภาพ : https://pixabay.com


บทความที่น่าสนใจ

เสียได้เสียไป ใจไม่ทุกข์ บทความให้กำลังใจจากพระไพศาล วิสาโล

จะสุขหรือทุกข์ คุณเกิดมาเป็นผู้เลือก อาจารย์ ป๊อป ฐาวรา สิริพิพัฒน์

จมทุกข์ – เมื่อเธอเพิ่งรู้ว่าธรรมะช่วยเยียวยาความทุกข์ได้

ในทุกข์ – มีสุขเสมอ ประสบการณ์สูญเสียที่ทำให้เห็นสัจธรรมชีวิต

เมื่อฉันได้พบ อาวุธฟาดฟันความทุกข์

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.