ศิลปะการเปลี่ยน “ทุกข์” ให้เป็น “สุข” ของ ชนกวนัน  รักชีพ (2)

เมื่อเข้ามาในวงการเต็มตัว  ตุ๊ก (ชนกวนัน  รักชีพ) มีโอกาสทำงานหลายอย่าง  ทั้งเป็นนางแบบ  นักแสดงพิธีกร  แต่อาชีพนางแบบเป็นอาชีพแรกที่ตุ๊กมีโอกาสได้ทำ  และเป็นงานที่ทำให้ตุ๊กได้เรียนรู้การทำงานและเรียนรู้จิตใจตัวเองไปพร้อมกัน

หลายคนอาจคิดว่าอาชีพนี้เป็นงานง่าย  ได้สตางค์เยอะแต่แท้จริงแล้วภาพเบื้องหน้าอันสวยหรูต้องแลกมาด้วยความอดทน  เพราะการเดินแบบแต่ละงาน  นางแบบทุกคนต้องมาซ้อมคิว  รอแต่งหน้าทำผมนานหลายชั่วโมงก่อนงานเริ่ม

การเป็นนางแบบทำให้ตุ๊กได้เรียนรู้ชีวิต  เรียนรู้จิตใจผู้คนมากมาย  ถ้าถามในมุมชิงดีชิงเด่นในวงการก็มีเหมือนกันส่วนเรื่องการนินทาหรือความไม่จริงใจก็มีให้เห็น  ตุ๊กเคยเจอเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองรับไม่ได้  นั่นคือ  วันหนึ่งขณะนั่งรอทำงาน  เหล่านางแบบในงานนี้ก็นั่งดูนิตยสารเล่มหนึ่งด้วยกันแล้วเปิดไปเจอภาพแฟชั่นเซตของเพื่อนนางแบบคนหนึ่ง  ขณะที่เปิดดูภาพไปทีละหน้า  จู่ ๆ ก็มีนางแบบคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

“อี๋  ยัยนี่ถ่ายรูปนี้น่าเกลียดจังเลย”

เธอพูดยังไม่ทันขาดคำ  เพื่อนนางแบบที่ถูกพูดถึงก็เดินเข้ามา  แต่คนที่เพิ่งพูดว่าเธอลับหลังกลับพูดกับเธอว่า

“เธอ  ถ่ายรูปนี้สวยจังเลยนะ”

พอเห็นพฤติกรรมแบบนี้  ตุ๊กลุกออกไปอ้วกในห้องน้ำเลย  เพราะรับไม่ได้กับการเสแสร้งแบบนี้  หลังเหตุการณ์นี้ตุ๊กก็เก็บตัวเงียบ  ไม่ค่อยคุยสุงสิงกับใคร  แล้วก็อารมณ์ไม่ดีจนเพื่อน ๆ เริ่มเมาท์กันว่าตุ๊กแปลกไป  ตุ๊กต้องปรับตัวปรับใจอยู่สักพักกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้  คงเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็กมากจึงไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้มากนัก  แต่พอโตขึ้น  ได้เจอคนเยอะ  เรียนรู้จิตใจคนมากขึ้น  เราก็เข้าใจและไม่รับมาคิดต่อให้ตัวเองเป็นทุกข์

ในขณะเดียวกันตุ๊กคิดว่าตัวเองเริ่มสร้างนิสัยหรือกลไกบางอย่างเพื่อปกป้องตัวเองจากเรื่องที่ไม่อยากรับรู้  ที่เพื่อน ๆล้อกันว่าเป็นอาการ “หูดับ”  คือตุ๊กสามารถปิดตัวเองไม่ให้ได้ยินเรื่องที่ไม่อยากได้ยินแม้กำลังนั่งคุยกันปกติในวงเพื่อน ๆ ก็ตาม  แม้ฟังดูแปลก  แต่ก็ช่วยให้ตุ๊กไม่รับความทุกข์จากเรื่องรอบตัวบางเรื่องได้ดี

 

“หลง” โดยไม่รู้ตัว

ใคร ๆ ก็มองว่า “นางแบบ” ต้องเป็นคนหวือหวา  แต่ตุ๊กยังคงใช้ชีวิตส่วนตัวราบเรียบเหมือนเดิม  ไม่เคยไปปาร์ตี้กินเหล้า  หรือเที่ยวกลางคืนเลย  พอเดินแบบเสร็จก็รีบกลับบ้าน  มานั่งอ่านหนังสือ  ถักนิตติ้ง  คือใช้ชีวิตเชย ๆดูไม่เป็นนางแบบเลยจริง ๆ  เหมือนเราออกไปสวมบทเป็นนางแบบ  เสร็จงานก็กลับบ้านมาอยู่ในโลกของตัวเอง

คนทั่วไปอาจมองว่าตุ๊กเป็นคนง่าย ๆ และคงไม่ “หลง”ไปกับชื่อเสียงของตัวเอง  แต่จริง ๆ แล้วตุ๊กยอมรับว่ามีบางมุมที่ตุ๊กหลงไปกับสิ่งเหล่านี้บ้างเหมือนกัน  ตุ๊กเคยเจอพี่ช่างแต่งหน้าที่เคยแต่งหน้าให้ตุ๊กสมัยเพิ่งเข้าวงการ  พี่เขาพูดสะกิดใจตุ๊กมากว่า

“เจอน้องตุ๊กมาตั้งแต่อะไรก็ได้…”

กลายเป็นว่าที่คิดมาตลอดว่าเป็นคนง่าย ๆ เหมือนวันแรกที่เข้ามาในวงการ  จริง ๆ แล้วเราเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัวเช่น  ตุ๊กอาจขอให้พี่ช่างแต่งหน้าแต่งในแบบที่คิดว่าเหมาะกับเรา  คิ้วต้องอย่างนั้น  กรีดตาต้องแบบนี้  หรือบางครั้งตุ๊กก็“เคยตัว” กับการที่มีคนมาบริการและดูแลเราอย่างดี  ทำให้กล้าขอให้คนทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้  เช่น  เวลาพาลูกไปกินข้าวนอกบ้าน  ร้านอาหารไม่มีลูกค้าแล้ว  ตุ๊กก็กล้าบอกว่า “ขอโทษนะคะ  ช่วยปิดทีวีได้ไหมคะ”  เพราะปกติไม่ให้ลูกดูทีวีเลย

ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย  แต่ตุ๊กมั่นใจว่าถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่มีคนรู้จัก  คงไม่กล้าทำแน่นอน  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตุ๊กพูดเสมอว่าไม่อยากให้ลูกทำงานในวงการบันเทิง  แม้จะเป็นวงการที่ตุ๊กรักและสนุกกับงานที่ทำ  แต่ก็รู้ว่าคนที่อยู่ในวงการนี้ต้องประคองตัวอย่างดี  ซึ่งถ้าลูกเราทำไม่ได้  ก็ไม่อยากให้ลูกอยู่ในจุดที่ไม่รู้ตัวเองเช่นนี้

 

แบบอย่างของการให้อภัย

ตุ๊กมีแฟนคนแรกตอนใกล้จะเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นความรักที่บริสุทธิ์และน่าประทับใจมาก  ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน  เขาจีบตุ๊กตั้งแต่เรียนชั้น ม. 3 จนจบม. 6  แม้แยกย้ายกันไปเรียนคนละมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ไกลกันเขายังคงพยายามจีบต่อไป  จนตอนเรียนจบเราจึงได้เป็นแฟนกัน

พอตุ๊กเข้าวงการ  เราก็ยังคบกันดี  เพราะเขาเข้าใจธรรมชาติของเรา  แต่แล้วตุ๊กกลับเป็นคนที่เปลี่ยนไป

เมื่อคบกันได้ประมาณสามปี  ตุ๊กได้เจอกับ พี่บ๊วย(เชษฐวุฒิ  วัชรคุณ)  ยอมรับว่าตุ๊กนอกใจแฟน  ด้วยการให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า  “ความสัมพันธ์ของเราต้องไม่ดีพอทำให้เราปันใจให้คนอื่น”  สุดท้ายก็ขอเลิกกับเขา  ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนขอร้องเท่าไหร่  ตุ๊กก็ยังยืนยันคำเดิมว่าต้องเลิกกัน

แต่หลังจากนั้นเรากลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน  เขากลับมาเป็นเพื่อนโดยไม่ได้หวังความสัมพันธ์อื่นใด  เขาเป็นเพื่อนแท้ที่ตุ๊กยกให้เป็นต้นแบบของ “การให้อภัย”  เพราะต่อมาเมื่อต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะให้อภัยคนที่เรารักได้อย่างไรตุ๊กก็นึกถึงเขา  เขาเป็นแรงบันดาลใจให้เราให้อภัยคนที่รักได้เช่นกัน

 

มรสุมชีวิตที่ไม่คิดว่าจะต้องเจอ

ความรักของตุ๊กกับพี่บ๊วย  เริ่มจากที่วันหนึ่ง ออร์แกน – ราศี  วัชราพลเมฆ มาบอกว่า  พี่บ๊วยฝากมาบอกตุ๊กว่า  “เขาชอบตุ๊กมาก  ชอบจริง ๆ  ขอแค่ให้ได้ชอบก็พอ”  หลังจากนั้นก็เงียบหายไป  จนตุ๊กได้รู้จักและคุยกับพี่บ๊วยจริง ๆ ก็ตอนที่ตุ๊กโทร.ติดต่อเขาเรื่องฟิตเนสแห่งหนึ่ง  เพราะพี่บ๊วยมีเพื่อนอยู่ที่ฟิตเนสแห่งนั้น  เริ่มจากการโทร.ให้พี่เขาช่วยเช็กตารางว่างของฟิตเนสให้  จนกลายมาเป็นคุยกันทุกวันโดยไม่รู้ตัว

พี่บ๊วยเป็นคนน่ารัก  สุภาพ  และพูดเพราะมาก  เราคุยโทรศัพท์กันอยู่ประมาณสิบเดือนจึงได้เจอหน้ากัน  เพราะตอนนั้นตุ๊กยังมีแฟน  ในใจจึงรู้สึกผิดมาก  แต่สุดท้ายเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย  เราจึงได้มาเจอกัน  และสุดท้ายก็ตกลงคบกัน  พี่บ๊วยเป็นคนไม่จู้จี้จุกจิก  ส่วนตุ๊กเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง  เราจึงคบกันได้อย่างมีความสุข  เมื่อคบกันได้สองปีพี่บ๊วยก็ขอแต่งงาน  เขาบอกว่ามั่นใจแล้วว่าตุ๊กคือรักแท้ของเขา

หลังจากแต่งงาน  ตุ๊กย้ายเข้าไปอยู่กับครอบครัวของพี่บ๊วยการแต่งงานของตุ๊กเหมือนแค่การย้ายบ้าน  ไม่ได้ปรับตัวสักเท่าไหร่  จึงทำให้จัดการกับความสัมพันธ์กับครอบครัวของเขาไม่ดีนัก  จนเราตัดสินใจแยกบ้านเป็นครอบครัวเดี่ยว  ตุ๊กก็รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น

ส่วนเรื่องการดูแลสามี  ตุ๊กคิดว่าตุ๊กทำได้ดีแล้ว  เพราะเราดูแลเรื่องอาหารการกิน  เอาอกเอาใจ  เซอร์ไพร้ส์ทุกเทศกาลแต่สุดท้ายก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่มีศิลปะในการครองเรือน เพราะตุ๊กละเลยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรใส่ใจ  เช่น  พี่บ๊วยจะหอมแก้มตุ๊กทุกครั้งที่ออกจากบ้าน  แต่กลับไม่มีสักครั้งเลยที่เราจะทำแบบนี้กับเขา  หรือพี่บ๊วยจะถามทุกวันว่า  “เหนื่อยไหม”  แต่ตุ๊กกลับไม่ใส่ใจกับคำพูดนี้  เมื่อมองย้อนกลับไปตุ๊กรู้ว่าตัวเองเป็นคนได้รับความรักอยู่ฝ่ายเดียว  แต่ไม่เคยมอบความรักกลับไปเลย

ตุ๊กไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจจะกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เสียใจที่สุดในชีวิต

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


เรื่อง ชนกวนัน  รักชีพ  เรียบเรียง เชิญพร  คงมา  ภาพ สรยุทธ  พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา  เกษตระชนม์  ผู้ช่วยช่างภาพ พรพรรษา  อรคามิน,  ภัณทิลา  ทนงคงสวัสดิ์

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.