“ชีวิตไม่ได้จบแค่วันนี้…” ปู - กมลชนก ปานใจ (1)

เชื่อว่าในชีวิตของคนหนึ่งคนคงมีวันที่ได้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงที่สุดและวันที่อยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด แต่ไม่ว่าจะอยู่ในจุดไหนสิ่งสำคัญที่สุดคือคุณได้พกพาหัวใจแบบไหนไปด้วย

หลายปีที่ผ่านมา คุณปู - กมลชนก ปานใจ ไม่ได้ปรากฏตัวตามสื่อต่างๆ มากนัก แต่เรื่องราวในชีวิตของเธอก็ยังคงดำเนินต่อไป แม้ในบางด้านอาจไม่สุขสมหวัง แต่ก็ยังมีบางด้านที่ทำให้เธอค้นพบอะไรดีๆ มากมาย หลายคนอาจไม่รู้ว่าที่ผ่านมา เธอต้องเผชิญกับภาวะเครียดจนร่างกายทรุดโทรม เดี๋ยวผอมเดี๋ยวอ้วน ส่วนด้านจิตใจก็ทุกข์และโหยหาความสุขที่แท้จริงอย่างที่สุด จนวันหนึ่งเมื่อได้ค้นพบว่าความสุขไม่ต้องดิ้นรนหาจากที่ไหน แค่รู้จักปล่อยวาง ชีวิตของเธอก็เหมือนหลุดจากพันธนาการของตัวเอง

เมื่อหันมารักตัวเอง เธอก็เริ่มหาวิธีการดูแลสุขภาพจนทำให้สุขภาพแข็งแรง รูปร่างดี หน้าตาอ่อนเยาว์ รวมถึงปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการใช้ชีวิตจนเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ

เมื่อก่อนใครหลายคนอาจรู้จักเธอในฐานะสาวเปรี้ยวอดีตนางแบบ และนักแสดงที่ผันตัวเองมาเป็นนักเขียนฝีปากกล้าแนวความสัมพันธ์ที่เขียนหนังสือ ปั่นหัวผู้ชาย, ทิ้งมันซะผู้ชายพรรค์นี้, เลวอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว ฯลฯ ต่อมาเธอกลายเป็นนักเขียนแนวสุขภาพที่ทำหนังสือน่าอ่านอย่าง“ฟิตแอนด์เฟิร์มใน 21 วัน” ที่บอกเล่าวิธีการดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อให้สุขภาพดีอีกด้วย

แต่…ขึ้นชื่อว่า “ปู - กมลชนก ปานใจ” เชื่อเถอะว่ายังมีเรื่องที่อยู่เหนือความคาดเดาของใครต่อใครอีกมากมาย

 

จากเด็กขี้อาย เรียบร้อย มาเป็นสาวฝีปากกล้า

ดิฉันเกิดมาในครอบครัวที่คุณพ่อรับราชการ ส่วนคุณแม่เป็นพนักงานฝ่ายบัญชี คุณพ่อค่อนข้างดุ แต่คุณแม่ใจดี ท่านจะสอนว่าห้ามเอาเปรียบใคร แต่ก็อย่ายอมให้ใครมาเอาเปรียบเรา คุณพ่อเป็นคนที่รักและเอาใจใส่ลูกมาก ลูกมาเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งสอนการบ้าน ไปรับไปส่งที่โรงเรียน

ดิฉันได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างเคร่งครัด เป็นเด็กขี้อายเรียนที่โรงเรียนราชินีบน ต้องคลานเข่าเข้าไปหาอาจารย์ แต่เมื่อย้ายไปเรียนโรงเรียนสตรีวิทยา ดิฉันก็เริ่มเฮี้ยว เปลี่ยนบุคลิกของตัวเองจากเด็กเรียบร้อยกลายเป็นคนสนุกสนานชอบกระโดดโลดเต้น

ในช่วงวัยเด็ก เคยถามคุณแม่ว่า “ตอนเด็กๆ หนูเป็นยังไง” คุณแม่ตอบว่า ตอนเด็กๆ แม่ไม่ได้เลี้ยงเราเอง เพราะด้วยความที่เป็นเด็กเลี้ยงง่ายและเป็นหลานคนหัวปีของบ้านทุกคนก็อยากช่วยเลี้ยง เดี๋ยวคุณป้ารับไปเลี้ยง คุณลุงรับไปเลี้ยง จำได้ว่าพอตื่นเช้ามาก็จะมีคนมามุงดูเราอยู่ เราก็จะเห็นหน้าคนหลากหลาย เพราะฉะนั้นจึงเข้ากับคนง่าย แต่ว่าลึกๆแล้วรู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนสามปีแรกของชีวิตเด็กต้องการพ่อแม่มากที่สุด แต่ในช่วงวัยนั้นดิฉันกลับอยู่กับญาติคนอื่นๆทุกปิดเทอมก็จะถูกส่งไปบ้านคุณปู่คุณย่า เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ต้องทำงาน

ด้วยเหตุนี้ คุณย่าเลยกลายเป็นคนที่ดิฉันใกล้ชิดมากที่สุดวันที่ท่านเสีย ดิฉันยังเป็นเด็ก จำได้ว่าร้องไห้เสียใจมากจนเป็นลมล้มพับไปเลยทีเดียว เหมือนโลกตรงหน้าถล่มทลายเพราะที่ผ่านมาท่านให้ความรักความอบอุ่นมาก ไปไหนก็ไปด้วยกัน ทำกับข้าวอร่อยๆ ให้กิน สอนดิฉันทำอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย

คลิกที่นี่! หรือกดเลข 2 ด้านล่างเพื่ออ่านหน้าถัดไป

รักครั้งแรกและ 8เดตในหนึ่งวัน

พอโตขึ้น ดิฉันก็เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นนางแบบ และด้วยความที่น่องสวยมือสวย ก็จะได้ถ่ายโฆษณาอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งเป็นรองสาวแพรว ชีวิตก็ผลิกผันอีกครั้งได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง “พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ” คู่กับคุณโอ - วรุฒ วรธรรม ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุคนั้น

ในขณะที่ชีวิตในวงการบันเทิงกำลังไปได้ดี แต่ความรักกลับตรงกันข้าม ดิฉันคบกับผู้ชายคนหนึ่งมา 9 ปี เขามาจากครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม ชาติตระกูลดี แต่ชอบดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แถมยังแอบมีคนอื่น ทำให้ดิฉันร้องไห้เสียใจบ่อยๆ แต่ด้วยความที่คิดว่าผู้ชายคนแรกที่คบเป็นแฟนคือคนที่เราจะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตด้วยไปจนวันตาย จึงพยายามอดทนมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งก็มาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อรู้สึกเหนื่อยจนสุดจะทน ดิฉันก็เดินออกมาจากชีวิตของผู้ชายคนนั้น

เมื่อเริ่มตั้งหลักใหม่ได้อีกครั้ง ก็เริ่มคิดใคร่ครวญว่าที่ผ่านมาชีวิตของตัวเองหายไปกับผู้ชายคนหนึ่งตั้ง 9 ปี ถ้าให้มาเริ่มต้นคบกับผู้ชายคนใหม่  อีก 5 - 6 ปีกว่าที่ดิฉันจะเจอคนที่ใช่  เราไม่แก่ไปเลยเหรอ เมื่อคิดอย่างนี้ ดิฉันก็เริ่มปฏิบัติการเฟ้นหาผู้ชายในแบบฉบับของตัวเอง

เริ่มแรกดิฉันพยายามหาความรู้ให้มากที่สุด  โดยเฉพาะหนังสือจิตวิทยาทั้งหลาย เพื่อเรียนรู้นิสัยของผู้ชายว่าแบบไหนที่เรียกว่ากำลังโกหก แบบไหนที่เจ้าชู้ หลังจากนั้นดิฉันก็เริ่มเดตกับผู้ชายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่น่าเชื่อว่าบางวันดิฉันมีเดตกับผู้ชายถึง 8 คนเลยทีเดียว อย่างเช่น เช้ามาดิฉันมีนัดดื่มกาแฟกับหนุ่มคนหนึ่ง ดื่มกาแฟเสร็จเขาก็กลับเข้าออฟฟิศ สายหน่อยก็นัดกับผู้ชายระดับผู้จัดการที่เข้างานตอนสายๆ เที่ยงก็กินข้าวกับหนุ่มอีกคนหนึ่ง บ่ายก็นัดอีกคนตกเย็นก็ไปดินเนอร์สุดหรู มีคนขับรถมาเปิดประตูให้ ดิฉันก็จะแต่งเดรสยาวสวยงามเดินลงมา หรืออีกวันดิฉันอาจมีเดตกับนายแบบหนุ่มหล่อผู้ชื่นชอบฮาร์เลย์เดวิดสันเป็นชีวิตจิตใจ คราวนี้ก็ต้องแปลงร่างเป็นสาวลุย นุ่งกางเกงขาสั้น รองเท้าบู๊ตไปตามระเบียบ ตกดึกก็มีหนุ่มชอบปาร์ตี้มารับไปเที่ยว ก็เปรี้ยวซ่าไปกับเขา

ฟังๆ แล้วก็เหมือนดิฉันกำลังคัดผู้ชายเข้าบ้านเอเอฟอย่างไรอย่างนั้น คนไหนไม่ดี ไม่ใช่ ก็คัดออกไปเรื่อยๆ แต่ในที่สุดก็พบว่ายังไม่มีคนไหนใช่อยู่ดี เลยต้องบอกตัวเองว่า  “ฉันเป็นผู้หญิงเก่งอยู่คนเดียวก็ได้!”

แต่เชื่อไหมคะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดิฉันไม่เคยปราศจากคนรักเลย และผู้ชายทุกคนเป็นคนที่ดิฉันเดินเข้าไปเลือกด้วยตัวเองทั้งนั้น เพราะถ้าเขาเดินเข้ามาหาเราก่อน เราจะไม่มีทางรู้ว่าเขาคิดอะไรหรือหวังผลอะไร ดังนั้นถ้าจะคบกับใครดิฉันจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเขาเอง รวมถึงสามีชาวฝรั่งเศสที่ดิฉันแต่งงานใช้ชีวิตคู่กับเขามาถึง 18 ปีเขาเป็นผู้ชายที่ฉลาด ละเอียดอ่อน  แต่ไม่ช่างพูด  เราต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิตมาด้วยกันจนสามารถสร้างฐานะได้อย่างมั่นคง

แต่ในที่สุด “เงิน” สิ่งที่ทำให้ทั้งคนจนและคนรวยต้องตกเป็นทาสมัน ก็ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของดิฉันต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่ทันคาดคิด

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.