พระปุจฉา – วิสัชนาธรรมระหว่างในหลวงรัชกาลที่ 9 กับ พระพรหมมุนี
พระปุจฉา – วิสัชนาธรรมระหว่างในหลวงรัชกาลที่ 9 กับ พระพรหมมุนี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช : ขณะที่ทรงผนวชอยู่นี้เรียกว่า “พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โดนที่ทรงดำรงฐานะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังมีอยู่ เป็นเพียงแต่ทรงจีวรเช่นภิกษุเท่านั้น ขอความเห็นจากพระอาจารย์
พระพรหมมุนี : เรื่องนี้ทางธรรมะเรียกว่า “สมมติ” ซ้อน “สมมติ” และ “สัจจะ” ซ้อน “สัจจะ”
ความเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็เป็นสมมติอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า “สมมติเทพ” ความเป็นพระภิกษุก็เป็นสมมติอีกอย่างหนึ่งซ้อนขึ้นในสมมติเทพนั้น ในการเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติต้องปฏิบัติให้เหมาะสมกับสมมตินั้นๆ เช่น เมื่อได้รับสมมติเป็นพระภิกษุแล้วก็ต้องปฏิบัติตามสิกขาบทของพระภิกษุโดยเคร่งครัด จักปฏิบัติแต่หน้าที่สมมติเทพอย่างเดียวไม่ได้ แต่ถ้าหน้าที่ของสมมติเทพที่ไม่ได้ขัดกับสิกขาบทวินัยก็อาศัยได้ เช่น คำที่เรียกว่า “เสวย” “สรง” “บรรทม” เป็นต้น ยังใช้ได้
“สัจจะ” คือ “ความจริง” นั้น ตามที่ท่านอธิบายนั้นมีหลายอย่าง แต่เมื่อกล่าวโดยหลักธรรมก็มี 2 อย่าง คือ
- สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ ยกย่องขึ้นให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ เช่น สมมติให้เป็นเทวดา สมมติให้เป็นพระอินทร์ พระพรหม ผู้นั้นก็เป็นตามเขา สมมติเพียงแต่ชื่อ แต่ไม่ได้เป็นจริงไปเช่นนั้นด้วย เช่น เขาสมมติให้เป็นพระอินทร์ ชื่อพระอินทร์ก็มีอยู่แก่ผู้นั้น แต่ผู้นั้นก็หาได้เป็นพระนารายณ์ตัวจริงมีสี่กรไม่
- สภาวสัจจะ จริงตามสภาวะ เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นดินก็เป็นดินจริง เป็นน้ำก็เป็นน้ำจริง เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์จริง เป็นความดับทุกข์ก็เป็นความดับทุกข์จริง เป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ ก็เป็นทางให้ถึงความดับทุกข์จริง อย่างนี้เป็นจริงตามสภาวะ
ท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ปรมัตถสัจจะ” เมื่อพิจารณาดูแล้วเป็นชั้นของสัจจะไปแล้ว ไม่ใช่ตัวสัจจะ เพราะปรมัตถสัจจะแยกออกเป็น “ปรมะ” แปลว่า “อย่างยิ่ง” “อัตถะ” แปลว่า “ประโยชน์” “สัจจะ” แปลว่า “ความจริง” รวมกันแปลว่า “ความจริงอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง” เมื่อมีความจริงที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งก็ย่อมส่องความว่าความจริงที่ไม่เป็นปรโยชน์ก็มี ความจริงที่เป็นประโยชน์ก็มี จึงได้ชั้นดังนี้
- ปรมัตถสัจจะ ความจริงที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
- อัตถสัจจะ ความจริงที่เป็นประโยชน์อย่างสามัญ
- อนัตถสัจจะ ความจริงที่ไม่เป็นประโยชน์
ญาณที่เห็นอริยสัจ 4 นั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของบุคคล เรียกว่า “ปรมัตถสัจจะ ” ญาณรู้เหตุรู้ผลสามัญ หลบจากเหตุที่เสื่อม บำเพ็ญเหตุที่เจริญ นี่เป็น “อัตถสัจจะ ” ญาณที่เห็นผิดจากความจริงนี่เป็น “อนัตถสัจจะ” บุคคลผู้ปฏิบัติต้องละ “อนัตถสัจจะ” บำเพญแต่ “อัตถสัจจะ ” และ “ปรมัตถสัจจะ”
ขอบคุณรูป welovemyking.com
บทความน่าสนใจ
พระปุจฉา – วิสัชนาธรรม ระหว่างในหลวงรัชกาลที่ 9 กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ