นักภาวนา

5 หลุมพรางที่พบได้บ่อยของนักภาวนา

5 หลุมพรางที่พบได้บ่อยของนักภาวนา

นักภาวนา ที่ต้องการเอาชนะทุกข์ทั้งหลาย  แม้เราโถมทุ่มความเพียรฟาดฟันกับกิเลสไปแล้วเท่าไหร่ แต่ขึ้นชื่อว่ากิเลส  มีหรือที่เราจะเอาชนะมันได้ง่าย ๆ  ธรรมชาติของกิเลส ย่อมนำหน้าเราอย่างน้อย 100 ก้าวเสมอ   เราทุกคนจึงไม่ควรประมาท  นิ่งนอนใจว่าฉันไปไกลกว่ากิเลส  เก่งกล้ากว่ากิเลส

ผมขอนำเสนอ หลุมพรางที่พบได้บ่อยๆ  “ขุดโดยกิเลส  ตกหลุมโดยนักปฏิบัติ”  เป็นกลเกมของกิเลสที่ทำให้นักปฏิบัติหลายคนพลาดท่าเสียที ขอให้นักปฏิบัติทั้งหลายจงตรวจสอบดูว่า  ท่านอยู่ในข้อใดข้อหนึ่งบ้างหรือไม่  จะได้เร่งปรับเปลี่ยนแก้ไข  เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าทางธรรมต่อไป

  1. ปล่อยวางจนกลายเป็นความขี้เกียจ

กลุ่มนี้เกิดจากสามารถละวางสิ่งต่างๆได้ตามสมควร  จึงไม่ค่อยทุกข์ร้อนกับเรื่องอะไร  มีเรื่องอะไรเข้ามากระทบก็ปลงตกได้เร็ว    จิตสงบเย็นทางธรรมอยู่เป็นนิจ    เป็นกลุ่มที่มักคิดถึงความตายเป็นอารมณ์  นิพพานเป็นอารมณ์  คิดถึงการเวียนว่ายตายเกิดบ่อยๆ  คิดถึงความว่างเป็นอารมณ์  เป็นกลุ่มนักปฏิบัติธรรมที่ค่อนข้างมีสมาธิดี  เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น  ก็จะนำเรื่องที่เห็นมาโยงเข้ากับเรื่องราวของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไป   นับเป็นจิตที่ฟุ้งซ่านน้อย  แต่จะออกไปทางเซื่องซึม  ทำให้เกิดความย่อหย่อนในการทำงาน  ปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ  อย่างไรจุดหมาย

สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยการเจริญวิปัสสนาให้มาก  อยู่กับปัจจุบันให้มาก  

  1. รู้ธรรมะมากจนกลายเป็นคนฟุ้งซ่าน

กลุ่มนี้เกิดจากคิดวิเคราะห์มาก  มักเป็นกลุ่มคนที่ใช้สุตมยปัญญาคือปัญญาที่เกิดจากการอ่าน การฟัง   และจินตามยปัญญา  คือปัญญาที่เกิดจากการคิดวิเคราะห์  คนกลุ่มนี้เน้นยกสิ่งรอบตัวมาพิจารณา  ชอบศึกษาธรรมะในมุมมองของสังคม  ปรัชญา  และเหตุผล  แต่ปฏิบัติทางจิตน้อย  ทำให้หลงไปกับธรรมะต่างๆ  ที่ตนเองตรึกตรองมาได้  ทว่าไม่สามารถเข้าถึงได้ในระดับสภาวะ  คนกลุ่มนี้มักเป็นคนพูดมาก  นิยมการวิพากษ์วิจารณ์  และสามารถมีเหตุผลได้ล้ำลึก  เนื่องจากรู้จักธรรมะมาก      ธรรมะที่รู้มาจึงตลบหลังทำให้กลายเป็นผู้ที่ส่งจิตออกนอกอยู่เสมอ  เรียกว่าเรียนธรรมะจากนอกตัว  แต่ไม่ชอบเรียนธรรมะจากในตัว

วิธีแก้คือ  ให้เจริญวิปัสสนามากๆ  ลดการพูด  การวิพากษ์วิจารณ์ให้น้อย  กำกับกายวาจาด้วยศีลห้า  ธรรมะที่มีอยู่ก็จะพัฒนาจากธรรมะแบบจำได้หมายรู้  ไปสู่ภาวะความเข้าใจธรรมในระดับจิต

3.  ยึดมั่นกฎแห่งกรรมในแง่มุมที่ผิดพลาด

คนกลุ่มนี้เชื่อเรื่องกรรมสูง  แต่ไม่เข้าใจรอบด้าน ทำให้กลายเป็นคนไร้ความเมตตา  เพราะไปคิดว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง  เมื่อพบเห็นเหตุการณ์อะไร  ก็มักนำเรื่องกฎแห่งกรรมเข้าไปจับ  โดยเห็นว่า  อะไรๆ ก็เป็นเพราะกรรมเก่า  คนนี้ลำบากก็เพราะกรรมเก่าคนนั้นถูกคนรักทิ้งก็เพราะกรรมเก่า  เจออุบัติเหตุก็เพราะกรรมเก่า   แผ่นดินไหวมีคนตายก็เพราะกรรมเก่า  ใครจะสุขหรือทุกข์ก็เพราะกรรมเก่า  ทุกคนเคยทำอะไรไว้  ก็จะได้รับผลกรรมนั้นตอบแทน  การคิดเช่นนี้ก็ไม่ผิด  แต่หากคิดแล้วขาดการเอาใจเขาไปใส่ใจเรา   ย่อมทำให้กลายเป็นคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว   ละเลยต่อการช่วยเหลือเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายโดยไม่รู้ตัว

วิธีแก้ไขคือ  ให้เจริญพรหมวิหารสี่ให้มาก  จิตใจที่เคยเชยชาก็จะอ่อนโยนลงได้

  1. ศรัทธาจนกลายเป็นความยึดติด

คนกลุ่มนี้เป็นบุคคลที่มีความศรัทธาสูง ชอบทำบุญทำทานเป็นชีวิตจิตใจกลัวบาปกรรม ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมความดีเป็นกลุ่มคนที่วางตนอยู่ในกรอบของศีลธรรม แต่ขาดหลักคิดแบบโยนิโสมนสิการคือยึดมั่นในตำรามากจนไม่นำหลักธรรมไปคิดทบทวนถึงเหตุผลทำให้ขาดความแยบคายในธรรม จึงพลาดไปจากเป้าหมายสูงสุด นั่นคือการมีปัญญาเป็นของตนเอง

วิธีแก้คือ หมั่นเจริญหลักคิดแบบโยนิโสมนสิการและหลักกาลามสูตรบ่อยๆน้อมเอาหลักธรรมที่ศึกษามาเป็นอารมณ์วิปัสสนาในชีวิตประจำวันศรัทธาและความรู้ทางธรรมที่มีอยู่บวกกับปัญญาซึ่งไม่ได้เกิดจากสัญญาลากไปก็จะทำให้จิตสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

5.มีปัญญามาก จนลำพองในธรรม

คนกลุ่มนี้โดยมากจะเน้นการเจริญวิปัสสนาเป็นหลัก สามารถรับรู้ความคิดและสภาพจิตของตนได้ตามความเป็นจริงทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลมกว่าคนอื่นเป็นเหตุให้ปัญญาตลบหลัง ถูกสัญญาที่แฝงตัวเข้ามาลากไปรวมกับกิเลสเป็นกิเลสซ้อนกิเลส ส่งผลให้เกิดการแบ่งเขาแบ่งเรา มีทิฐิมานะไม่ค่อยเปิดใจรับการตักเตือนจากบุคคลอื่นได้ง่ายเพราะคิดว่าตนเองรู้ทุกอย่าง

วิธีแก้ไขคือให้รู้จักคุณธรรมของความอ่อนน้อมถ่อมตนฟังคำตักเตือนของกัลยาณมิตรรอบตัว และเจริญสมถะกรรมฐานให้มากขึ้นเมื่อจิตมีพลังสมาธิทัดเทียมกับปัญญาก็จะเกิดความก้าวหน้าทางธรรมได้อย่างแท้จริง

นอกจากหลุมพรางทั้งห้าข้อนี้แล้วการปฏิบัติธรรมนั้นยังมีหลุมพรางอีกหลายๆ ประการด้วยกันผู้ปฏิบัติจะต้องหมั่นสำรวจตรวจสอบตนเองคุณธรรมทั้งหลายที่มีอยู่ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเปรียบดังเครื่องมือ ที่ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องใช้ให้ครบทุกชนิด ทั้งวิธีคิดวิธีกำกับกายวาจา วิธีกดข่มกิเลสเบื้องต้น วิธีลดความฟุ้งซ่านวิธีหาอุบายธรรม และวิธีขัดเกลาจิตใจให้รู้เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง

ทุกอย่างที่พูดมานี้ต้องเดินไปพร้อมๆ กันอย่างสมบูรณ์ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลให้การปฏิบัติขาดสมดุลยภาพทำให้เกิดเป็นวิปัสสนูปกิเลสได้หมายความว่าเกิดกิเลสที่แฝงมากับการพัฒนาจิต ทำให้การปฏิบัติผิดทิศผิดทางปฏิบัติธรรมแต่ไม่ได้ธรรม

กลับสร้างกรรมเข้ามาแทนที่โดยไม่รู้ตัว


คอลัมน์ Heart and Soul นิตยสาร Secret

เรื่อง พศิน อินทรวงค์

รูปภาพ คุณTodd Quackenbush www.unsplash.com


บทความน่าสนใจ

7 ขั้นตอน เจริญภาวนา ด้วยการซ้อมตาย

10 ข้อปฏิบัติเพื่อการเติบโตของจิตวิญญาณ โดยคุณพศิน อินทรวงค์

10 ข้อคิดเปลี่ยนชีวิตที่คับแคบให้กลายเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ โดยคุณพศิน อินทรวงค์

สูตรแก้ ปัญหา ครอบจักรวาล! โดยคุณพศิน อินทรวงค์

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.