นายแพทย์ ชวโรจน์

มองให้เป็นเห็นแต่ความสุข บทความให้กำลังใจจาก นายแพทย์ ชวโรจน์

มองให้เป็นเห็นแต่ความสุข  บทความให้กำลังใจจาก นายแพทย์ ชวโรจน์

เรื่อง นายแพทย์ ชวโรจน์ เกียรติกำพล

ผมมีโอกาสดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดระยะแพร่กระจายรายหนึ่ง เธออายุ 48 ปีไม่เคยมีโรคประจำตัวใด ๆ ไม่เคยป่วยจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล และที่สำคัญเธอไม่เคยสูบบุหรี่หรือสูดดมควันไฟที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคนี้มาก่อนเลย ยิ่งไปกว่านั้นผมเพิ่งทราบประวัติเพิ่มเติมภายหลังจากลูกชายว่าเธอเป็นคนใจบุญ ชอบเข้าวัดฟังธรรมและทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมออีกด้วย

1 เดือนก่อนผมพบกับคุณน้าคนนี้ที่โรงพยาบาล ท่านมาตรวจด้วยเรื่องหายใจเหนื่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด รับประทานอาหารได้น้อย และปวดท้องมาก ผมตรวจพบว่าปอดข้างขวาของเธอมีเสียงผิดปกติ และคลำพบก้อนบริเวณช่องท้องด้านบน จึงสั่งตรวจเอกซเรย์เพิ่มเติม ระหว่างรอผลการตรวจผมพอมีเวลาจึงชวนคุย คุณน้าเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่าย และเป็นกันเอง เธอดูมีความสุขมากเวลาพูดถึงการไปทำบุญที่วัด เธอเล่าว่า มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ มานานแล้ว แต่เกรงใจลูกชายจึงไม่ได้บอก ได้แต่ซื้อยามารับประทานเองแถมยังพูดติดตลกว่า

“ป้าคงไม่เป็นมะเร็งใช่ไหมหมอ ถ้าเป็น ป้าคงทำใจลำบาก ยังอยากอยู่ทำบุญอีกหน่อย”

แต่แล้วชีวิตจริงก็เล่นตลกกับเธอ เมื่อผลการตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดและอยู่ในระยะแพร่กระจาย หลังรู้ผลการตรวจ สีหน้าท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

2 สัปดาห์ก่อน อาการของเธอแย่ลงอย่างรวดเร็ว ลูกชายเล่าว่า เมื่อกลับไปถึงบ้าน เธอมีอาการซึมเศร้า รับประทานอาหารได้น้อยกว่าเดิมและไม่ยอมรับประทานยาที่ให้ คอยแต่พูดตัดพ้อ พร่ำบ่นว่าเธอโชคร้าย ทำดีมาทั้งชีวิต แต่ได้รับการตอบแทนด้วยการป่วยเป็นโรคมะเร็ง

1 สัปดาห์ก่อน ลูกชายของเธอยังคงดูแลมารดาอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เขารู้ดีว่าแม่จะอยู่ได้อีกไม่นาน ตอนนี้เธอไม่ยอมรับประทานอะไร นอนซึมและเหม่อลอยแทบตลอดเวลา เวลานอนมักละเมอและตื่นกลางดึกบ่อย ๆ ลูกชายพยายามให้เธอมีความสุข เขานิมนต์พระภิกษุมาที่ห้องพักแทบทุกวัน เพื่อให้แม่ถวายสังฆทานเฉกเช่นที่เคยทำแล้วมีความสุข แต่นั่นดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้แม่ดีขึ้นเลย

และเพียงหนึ่งเดือนหลังจากตรวจพบโรค เธอก็จากโลกนี้ไปเร็วกว่าผลการพยากรณ์ตามระยะของโรค และที่สำคัญ ลมหายใจสุดท้ายของเธอเป็นลมหายใจพร้อมคราบน้ำตาบนใบหน้า เป็นการจากไปแบบไม่สงบสุข เธอคงคิดไม่ถึงว่าได้สร้างบาดแผลไว้ในใจของลูกชายที่เธอรักเสียแล้ว

“แม้เป็นคนดี แต่ก็อาจไม่ใช่คนที่มีความสุข”

ผมเริ่มเข้าใจประโยคนี้เมื่อนึกทบทวนถึงเรื่องราวของผู้ป่วยรายนี้ เธอหมั่นทำแต่ความดีมาตลอดชีวิต เธอมีครอบครัวที่ดี มีลูกชายที่เอาใจใส่ดูแลไม่เคยห่าง แม้กระทั่งยามป่วยก็พยายามหาทางให้เธอทำในสิ่งที่เคยทำแล้วมีความสุข ความสุขอยู่รายล้อมรอบตัวเธอ แต่เหตุใดเธอจึงดูไม่มีความสุขหรือเพราะเธอมองไม่เห็นความสุข

การจะมองเห็นความสุขที่มีอยู่หรือไม่นั้น ควรเริ่มจากการฝึกยอมรับสภาพตามความเป็นจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เมื่อใจยอมรับความจริงได้ จิตใจก็จะนุ่มนวลอ่อนโยน และสงบลงโดยอัตโนมัติ จิตใจที่สงบนี้คือรากฐานที่ทำให้เราเปิดรับความสุขได้อย่างง่ายดาย

ความสุขหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นผลมาจากเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาชั่วคราวในชีวิตของเรา ท่าทีและการยอมรับตามความเป็นจริงต่อเหตุการณ์นั้น ๆ เป็นตัวกำหนดว่าเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ เพราะเราเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่ได้ แต่สามารถกำหนดท่าทีและความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์นั้น ๆ ได้ ถ้าเรามองเป็นก็จะเห็นความสุข

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

Photo by Ana Gabriel on Unsplash

Secret Magazine (Thailand)


บทความน่าสนใจ

True story : ฉันรอดจากโรคร้าย เพราะใจไม่ยอมแพ้

James Kearsley ชายหนุ่มผู้ เอาชนะโรคร้าย กลายมาเป็นนักเพาะกายสร้าง แรงบันดาลใจ

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.