5 พฤติกรรมโลกออนไลน์ ทำร้ายสุขภาพ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการใช้ชีวิตประจำวันในโลกยุคใหม่นั้นเปลี่ยนไปจากเดิมมากจนน่าใจหาย หลายคนเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือ เช็คข่าวสารและอัพเดตสิ่งต่างๆ ผ่านโลกโซเชียลหลังจากตื่นนอน และยาวนานเฉลี่ยประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนั่นเอง ส่งผลเสียต่อร่างกายของเราแบบที่หลายคนยังไม่รู้ตัว อย่างเช่น มีอารมณ์ที่รุนแรงขึ้น มีภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัว มีอาการกล้ามเนื้อมือและนิ้วทำงานขัดข้อง สมาธิสั้นลง หรือรวมไปถึงภาวะอื่นๆ เช่น เกิดความวิตกกังวลในตัวเอง มีความไม่มั่นใจในตัวเอง และอื่นๆ อีกมาก รีบมาลด 5 พฤติกรรมนี้ ก่อนที่ผลเสียจะเกิดขึ้นกับคุณ
- ลดเวลาออนไลน์
พฤติกรรมติดสมาร์ทโฟน รวมไปถึงอาการติดโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกชนิด ทำให้มุ่งความสนใจไปที่สมาร์ทโฟนแทบจะทุกนาที จนกลายเป็นความวิตกกังวลต่อข้อความที่ถูกส่งมา แม้กระทั่งเวลาจะหลับก็ยังเอามือถือไปเล่นเรื่อยเปื่อย และหลับไปพร้อมกับมือถือในมือ หรืออยู่ไม่ห่างกาย ดังนั้นเมื่อมีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้ามา สมองที่ยังยึดติดกับโทรศัพท์อยู่ทุกขณะจิต ก็จะปลุกร่างกายที่หลับใหลให้อยู่ในสภาวะละเมอ แล้วกดส่งข้อความไปโดยอัตโนมัติ เรียกว่า อาการละเมอแชท (Sleep Texting)
ผลกระทบที่เกิดคือ มีอาการนอนหลับไม่สนิท หรือนอนหลับไม่ได้เต็มที่ เป็นเหตุให้พักผ่อนไม่เพียงพอ กระทบมาถึงระบบการทำงานของร่างกาย ร่างกายอ่อนแอ ทำให้เกิดความเครียดสะสม นำไปสู่ภาวะซึมเศร้า เสี่ยงเป็นโรคอ้วน โรคโมโนโฟเบียฝันร้าย กระทบต่อการเรียนและการทำงาน ทั้งยังอาจส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้
- ลดการช้อบปิ้งออนไลน์
นักจิตแพทย์สันนิษฐานว่า อาการติดช้อปปิ้งออนไลน์ (Online Shopping Addiction) อาจเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตด้านอื่น ๆ เช่น ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลในตัวเอง มีความไม่มั่นใจในตัวเอง หรือรู้สึกมีปมด้อย มีความเครียด ความกดดัน จากสภาวะแวดล้อมรอบๆ ตัว เคสนี้อาจถูกกระตุ้นเกิดให้อยากซื้อได้ง่ายมาก เนื่องจากคนนิยมโพสต์โชว์สินค้าแบรนด์ดังเพื่อโชว์ หรือการ Re Targeting ของโฆษณาออนไลน์ที่ทำให้เราเ ห็นสินค้าต่างๆ อยู่เป็นเดือน นอกจากนี้ผลการศึกษาในวารสาร PLOS ONE ยังระบุว่า นักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยายังคงทำการศึกษาว่าอาการติดช้อปปิ้งออนไลน์จะเกี่ยวข้องกับภาวะของโรคยั้งใจไม่ได้ (impulse control disorders) หรือโรคย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive disorders) ด้วยหรือไม่ ทว่าหากมีอาการติดช้อปปิ้งออนไลน์หนักมาก โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ซื้อของออนไลน์ได้ ก็แนะนำให้ปรึกษาจิตแพทย์ เพราะเนื่องจากสุขภาพจิตจะแย่แล้ว เงินในกระเป๋าก็จะไม่มีด้วยเช่นกัน
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
- ลดการเสพติดข่าวสารให้น้อยลง
แม้ว่าโลกออนไลน์และระบบโซเชียลเน็ตเวิร์กจะมีคุณประโยชน์มากในด้านข่าวสารและข้อมูล แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อย หลายคนป่วยเป็นโรคเสพติดอินเทอร์เน็ตไม่รู้ตัว ซึ่งยังไม่รวมถึงเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดนหลอกลวง ละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยหรือแอบอ้างผลงานผู้อื่นกระทั่งการสร้างค่านิยมทางวัฒนธรรมที่ผิดบิดเบี้ยว สิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงทางจิตใจของผู้รับข้อมูลเนื่องจากการแชร์ข่าวปลอม ข้อมูลเป็นเท็จเกิด หรือข้อมูลที่ทำให้เกิดการแตกแยกทางความคิดในสังคม เกิดขึ้นได้ในทุกวัน
สมาคมจิตแพทย์อเมริกันทำการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชในกรณีเสพติดอินเทอร์เน็ต โดยระบุว่า คนที่เข้าไปอยู่ในโลกสมมติมากขึ้น ส่วนมากมีสาเหตุมาจากความผิดปกติด้านอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า เครียด ย้ำคิดย้ำทำ และวิตกกังวล หรืออาจจะพบได้ในกลุ่มคนที่มีลักษณะครึกครื้นตลอดเวลา
- ลดการเชื่อข้อมูลจาก Influencer
Influencer Blogger เนตไอดอล หรือผู้นำทางความคิดบนโลกโซเชียลเกิดขึ้นใหมทุกวัน หลายคนมีอิสระในการนำเสนอข้อมูลสูงโดยไม่ต้องมีการตรวจสอบ ข้อมูลที่ถูกส่งออกมา อาจเป็นจริง หรือเท็จก็ได้เพราะ “เนื่องจากการตลาดออนไลน์ในขณะนี้สามารถส่งผลโดยตรงต่อการให้ข้อมูล รีวิว หรือขายสินค้า” ซึ่งแน่นอนว่าหากเราเสพติดข้อมูลในส่วนนี้บ่อยๆ โดยไม่พิจารณาหาข้อมูลอื่นๆ นำมาเปรียบเทียบกันให้ดีก่อนตัดสินใจ เชื่อตามกัน 100% นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของอาการติดช้อปปิ้งออนไลน์ (Online Shopping Addiction) เห็นรีวิว น่าสนใจ เชื่อ และตัดสินใจซื้อทันที ทางที่ดีเลือกติดตาม Blogger หรือ เนตไอดอลที่น่าเชื่อถือ ให้ข้อมูลอ้างอิงจากแหล่งที่ไว้ใจได้ ก็สบายใจไปครึ่งหนึ่งแล้ว
คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
5.ลดการใช้ฟีเจอร์การแจ้งเตือน (Notification)
การที่คุณเปิดการแจ้งเตือนไว้ในทุกแอพพลิเคชั่น หรือทุกช่องทางการติดต่อบนสมาร์ทโฟนอาจจะทำให้คุณต้องเสียเวลามาคอยลบ Notification เหล่านั้นอยู่เป็นประจำ และอาจเสียเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง ดังนั้นเพื่อเพิ่มเวลาให้ชีวิตอีก ควรเลือกเปิดการแจ้งเตือนไว้สำหรับแอพพลิเคชั่นที่สำคัญที่ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานโดยตรง อย่างเช่น อีเมล์ หรือโปรแกรมแชทช่องทางหลักๆ ถ้าทำได้ คุณจะอยู่กับโทรศัพท์มือถือน้อยลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อมือและนิ้วจะทำงานน้อยลง สุขภาพจิตก็จะดี เพราะมีเวลาพูดคุยกับคนรอบข้างมากขึ้น และข้อแนะนำที่ดีอีกอย่างคือในวันหยุดพักผ่อน จะปิดการแจ้งเตือน หรือปิดเสียงมือถือไปเลยก็ยังได้
เทคนิคดีๆ จงฝึกนิสัยการไม่มีมือถือ
ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ Larry D. Rosen แห่งมหาวิทยาลัย California State แนะนำว่า “วิธีที่ง่ายแต่สามารถทำให้คุณฝึกการไม่มีมือถือติดตัวคือ
- เริ่มจากเปลี่ยนวิธีการใช้มือถือ โดยคุณจะต้องฝึกมองดูจอมือถือเพียงหนึ่งนาที แล้วเช็คข้อมูลในทุกๆ แอพฯ หรือช่องทางการติดต่อในทุกแพล็ตฟอร์ม
- จากนั้นให้ “ปิดหน้าจอมือถือซะ แล้วตั้งเวลาเตือนไว้ 15 นาที จากนั้นคว่ำหน้าจอมือถือลง” ซึ่งวิธีการ “วางคว่ำจอมือถือ” จะสั่งการสมองคุณให้ปลดปล่อยการรับข้อมูล ลดความเครียด และลดความวิตกกังวล ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพและเสียเวลาชีวิตไปกับการก้มมองหน้าจอมือถืออยู่ตลอดเวลา