22 วันอดอาหารต้านโรค

ทันทีที่ประตูรั้วเปิดออก ความร่มรื่นของสุมทุมพุ่มไม้รอบบ้านก็ปรากฏแก่ตา คุณธาดา สกุลรัตนรักษ์ เจ้าของบ้านวัยย่าง 52 ปี เปิดประตูต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแวบแรกที่เห็น เราต่างก็สัมผัสถึงความมีเมตตาในตัวของชายผู้นี้ โดยเฉพาะนัยน์ตาหลังกรอบแว่นของเขามีประกายสุกใสเหมือนรอยยิ้มฉายโชนอยู่ตลอดเวลา

“ไป…จิ๋ว” เขาหันไปปรามสุนัขตัวจ้อยที่เห่าเอาเสียงเข้าข่มแขกแปลกหน้า

เรานั่งคุยกันพลางจิบน้ำคั้นผลไม้อยู่ที่มุมรับแขก เคียงกระถางกล้วยไม้ที่เรียงรายอวดดอกไสว

เดิมทีคุณธาดาเป็นเจ้าของกิจการโรงแรมที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง จู่ๆเขาก็ตัดสินใจขายกิจกการทั้งหมด ทั้งๆที่กำลังไปได้ดี

“ผมเป็นคนที่อยู่ง่ายๆไม่ซับซ้อน ไม่เครียด เพราะเห็นคนที่เครียดแล้วตายแบบไม่รู้ตัวมานักต่อนักแล้ว เพราะฉะนั้นถึงทำธุรกิจก็จึงไม่เครียด แต่เหตุผลที่ขายนี่เพราะอยู่ๆวันหนึ่งเราก็ถามตัวเองว่า เรายังต้องการอะไรอีก คำตอบบอกว่าพอแล้ว อ้าว…พอแล้วก็เกษียณตัวเองสิ หาบ้านที่ไหนสักแห่งอยู่ ใช้ชีวิตง่ายๆอยู่ให้มีความสุข อ่านหนังสือ ปฏิบัติธรรม อยู่อย่างสงบของเราน่าจะดีกว่า”

นั่นคือจุดตั้งต้นของความสุขที่คุณธาดามีอยู่ในทุกวันนี้ ทว่าก่อนหน้านั้น แม้ฐานะในครอบครัวไม่ลำบาก ภรรยาน่ารัก เป็นคู่ครองที่เข้าใจกันในทุกๆเรื่อง ลูกสาวก็ประสบความสำเร็จทั้งการเรียนและหน้าที่การงาน ดูเหมือนชีวิตไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาน่าห่วง แต่จริงๆโรคที่ดูเหมือนไม่ร้ายกลับคุกคามอยู่ในตัวเขา

“ตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าๆมาแล้วที่ผมปวดท้องอยู่ตลอดเวลา ไปตรวจ หมอบอกว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร เริ่มต้นจากการปวดท้องทั้งก่อนรับประทานและหลังรับประทานอาหาร รักษาแล้วก็ยังเป็นๆหายๆเรื้อรั้งจนกระทั่งผมตัดสินใจเกษียณเมื่อ 3 – 4 ปีมานี่เอง”

“ผมคิดว่าสาเหตุมันน่าจะเกิดจากการกินผิดๆของผม กินบ้างไม่กินบ้าง เที่ยวมืดค่ำดึกดื่น กินนอนไม่เป็นเวลาเลย ถึงจะไม่ทานอาหารรสจัด แต่อาหารที่ทานก็ไม่เคยเลือก เจอตรงไหนก็กิน

หลังซื้อยากินเองอยู่พักใหญ่ เขาตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างจริงจัง แพทย์ใช้วิธีส่องกล้องตรวจ พบว่าในกระเพาะอาหารมีแผลเรื้อรัง ซ้ำกำกับกับคนไข้ว่า ถ้าไม่ยอมรักษาและดูแลให้ อาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้

ดูเหมือนคำว่า “มะเร็ง” จะหยุดการใช้ชีวิตชนิดสนุกใจ แต่ลำบากกาย อย่างได้ผล

“ถ้าเราขืนปล่อยไว้อย่างนี้ต้องแย่แน่ๆเลย” คุณธาดาคิดอยู่ในใจ

เขาเริ่มดูแลเรื่องการกินอยู่ของตนเองมากขึ้น หลังจากตัดสินใจขายกิจการโรงแรม เขาใช้ชีวิตอยู่ตามสถานปฏิบัติธรรมร่วมกับภรรยา บางครั้งก็ชวนกันไปเสาะหาอาหารเพื่อสุขภาพรับประทาน

วันหนึ่งได้เข้าไปในกลุ่มเพื่อนมังสวิรัติ หลังรับประทานอาหรก็มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ใครบางคนเปิดประเด็นเรื่องความเจ็บป่วย จนกระทั่งมีผู้ป่วยภูมิแพ้ที่เคยมีอาการหนักเจ็บป่วยเรื้อรังอยู่เป็นสิบๆปี ลุกขึ้นเล่าอาการของเขาพร้อมทั้งสรุปจบท้ายถึงสาเหตุ ที่หายจากโรคดังกล่าว ว่า ใช้วิธี อดอาหาร ในการรักษา โดยได้รับคำแนะนำจากแพทย์ชาวออสเตรเลีย

“เขาว่า …ในขณะที่เราทำการอดอาหาร ร่างกายจะคอยปกป้องดูแลตัวมันเอง…ฟังแล้วก็นั่งคิดว่า อืม…น่าสนใจ แต่โรคที่ผมเป็นมันอยู่ในกระเพาะของผมนี่นา จะใช้ได้หรือ”

ในที่สุดเขาตัดสินใจที่จะลองอดดูบ้างเพราะทุกทางทุกวิธีที่คุณธาดาเคยรักษา ไม่ประสบผลสำเร็จอย่างจริงจังเลยสักอย่าง ทันทีที่กลับถึงบ้าน เขาก็ตัดสินใจ…เริ่มอด

“ผมมาคิดแล้วว่า รักษาแบบไหนๆก็ไม่หายขาดสักอย่าง ถ้าขืนให้เป็นต่อไปผมอาจต้องตายเพราะมะเร็งกระเพาะแน่ๆ เพราะฉะนั้นถ้ามันจะตายเพราะอดอาหารก็ให้มันตายไปเถอะ ก็เลยอดทันทีตั้งแต่วันนั้น

สามวันแรก คุณธาดาไม่รับประทานอะไรเลยนอกจากน้ำ แล้วนอนพักนิ่งๆอยู่กับบ้าน หนังสือไม่อ่าน งานไม่ทำ ฟังเพลง หรือนั่งสมาธิอยู่เฉยๆก็พอ

“โอ๊ย…มันปวดมากเลยคุณ เพราะว่ายน้ำย่อยมันยังออกมาตามปกติ แต่ในกระเพาะเราไม่มีอาหาร มันก็กัดซ้ำที่แผลเก่า ปวด ทรมานมาก ผมเลยโทรศัพท์คุยกับเขา ก็ได้รับคำตอบว่าไม่เป็นไร อีกสักสองสามวันน้ำย่อยมันจะค่อยลดลงไปเอง ให้ทนปวดเอาหน่อย ผมก็เชื่อเขา”

สองสามวันแรกเขายังพอมีแรงรดน้ำต้นไม้หรือเดินไปมาอยู่ในบ้าน แต่หลังจากนั้นเรี่ยวแรงก็ค่อยๆลดลง

“สัก 7 วันต้องนอนอยู่นิ่งๆแล้ว ไม่ไหว ไม่มีแรง ปวด เพลีย ถึงน้ำย่อยจะไม่ค่อยมีมากแล้ว แต่ก็ยังปวดอยู่ มาหยุดเอาประมาณวันที่สิบ ก็โทรศัพท์ไปบอกเขาว่า ผมไม่ปวดแล้วนะ สงสัยหายแล้ว จะให้กินอย่างอื่นนอกจากน้ำเปล่าๆได้หรือยัง (หัวเราะ) เขาบอกว่าไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะมาดูก่อนว่าหายจริงหรือยัง มาถึงเขาก็ดูลิ้น บอกว่ายังมีฝ้าอยู่เต็มไปหมดเลย ปัสสาวะก็ยังเหลืองอยู่ ขนาดเราดื่มแต่น้ำมาสิบวันแล้วนะ เชื่อไหมว่าปัสสาวะยังเหลืองเข้มอยู่เลย เขาบอกว่า ไม่ได้ ต้องอดต่อ พิษในร่างกายยังมีอยู่เยอะ”

คุณธาดาทำตาม แต่ความอยาก หรือไม่แน่อาจเป็นความมั่นใจว่าตนหายแล้ว จึงแอบดื่มน้ำมะพร้าว หวังให้ชื่นใจสัก 1 แก้ว

“ดื่มไปได้แค่ครึ่งแก้วเท่านั้นแหละ พักเดียวก็อาเจียนออกมา มีเลือดปนมาด้วย ผมตกใจมาก โทรศัพท์ไปใหม่ เขาบอกว่า ดีแล้ว …เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ก็แล้วกัน มันกำลังจะหายอยู่แล้ว พอเกิดอาเจียนเข้า กระเพาะอาหารก็บีบตัว แผลที่กำลังจะหายก็ปริ เป็นแผลใหม่อีก เฮ้อ ..เอาเริ่มใหม่ก็เริ่มใหม่ คุณรู้ไหมสามวันแรกที่เริ่มใหม่นี่ปวดเหมือนจะขาดใจ อดจนได้สิบวันอีก เขาก็มาเยี่ยมและบอกให้อดไปอีกสักพัก”

จนถึงวันที่ยี่สิบ คุณธาดารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมาก ภายหลังตรวจดูลิ้นกับปัสสาวะ เพื่อนคนเดิมก็แนะนำว่า อีกสักสองสามวันน่าจะดี

“เราก็อดอีกสองวัน ไม่เป็นไร อดมาจนชินแล้วนี่ แต่รู้ไหม ตลอดเวลาที่อด เราจะรู้สึกเพลียมาก เข้าห้องน้ำแต่ละทีแทบจะต้องคลานไป พอครบยี่สิบสองวันก็เป็นอันว่าเลิกอดได้ คราวนี้ให้เริ้มจากดื่มน้ำส้มคั้นหนึ่งช้อนชาผสมกับน้ำสะอาดหนึ่งช้อนชา หยุดไปสองชั่วโมงค่อยกินใหม่ คราวนี้เพิ่มเป็นสองช้อน สัดส่วนของน้ำส้มคั้นผสมกับน้ำเท่าๆกัน

“สามวันหลังจากเริ่มต้นดื่มน้ำส้มก็ให้เริ่มเคี้ยวได้ กินส้มทั้งกากราวๆครึ่งลูกแล้วค่อยเพิ่มเป็นลูก สักสองสามวัน คราวนี้เคี้ยวส้มได้ทั้งวันตลอดเวลาที่รู้สึกหิว ร่างกายเริ่มดีขึ้น เริ่มมีเรี่ยวมีแรง คราวนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นผลไม้อย่างอื่นได้ พอดีช่วงนั้นเป็นหน้ามะม่วง ผมก็เลยได้มะม่วงสุกมากิน ผมต้องกินผลไม้สุกเพราะผลไม้ดิบอาจทำให้แผลในกระเพาะเกิดขึ้นใหม่ได้”

คุณธาดาเล่าว่า แม้ช่วงหลังๆที่เริ่มรับประทานส้มทั้งกากหรือผลไม้สุกได้แล้วแต่ก็ต้องกินให้เป็นเวลา ไม่ใช่ตลอดเวลาเพื่อให้กระเพาะได้มีเวลาพักฟื้นตัวเอง

“หลังจากเดือนหนึ่งไปแล้วก็เริ่มทานสลัดได้หนึ่งจาน หนึ่งมื้อ มื้ออื่นๆก็ทานส้มหรือผลไม้สุกเหมือนเดิมทานอย่างนี้สักสัปดาห์หนึ่งก็เริ่มมีเมล็ดธัญพืชผสมลงไปในสลัดได้ แต่ต้องไม่มาก สัก 5 – 6 เม็ด อย่างเมล็ดฟักทอง

“พอครบสองเดือนก็เริ่มทานข้าวได้แล้ว แต่มื้อละหนึ่งช้อน เคี้ยวให้ละเอียดเลย แล้วค่อยกลืน ต่อไปก็มีน้ำซุปได้บ้างทานเหมือนน้ำส้มนั่นแหละ คือค่อยๆเพิ่มวันละนิด แต่ไม่ได้เคร่งเหมมือนอย่างน้ำส้มแล้ว เพียงแต่ระวังเรื่องเคี้ยวให้ละเอียดเท่านั้น ละเอียดจนแทบจะเป็นโจ๊กไปเลย จากนั้นก็รับประทานผัก เอาผักมาทำกับข้าวทานได้ แต่ต้องระวังเรื่องความมัน เต้าหู้ยังไม่ทอดทานเลย เบ็ดเสร็จก็คงสักเดือนสองเดือนครึ่งนี่แหละ ถึงได้กลับมารับประทานอาหารเหมือนคนปกติ”

ตลอดเวลาที่ทำการอดอาหารและเริ่มรับประทานทีละนิด เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ร่างกายค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมา แต่น้ำหนักตัวลดลงถึง 13 กิโลกรัม ตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ เขารับประทานมังสวิรัติมาตลอด ไปส่องกล้องดูก็พบเพียงจุดเล็กๆคล้ายแผลที่เพิ่งหาย

คุณธาดาไม่ได้ยืนยันว่าความสำเร็จในการอดอาหารรักษาของตัวเขาเอง คือ สูตรสำเร็จในการรักษาโรคอื่นๆของคนอื่นๆซ้ำยังบอกว่า นี่คือวิธีที่ทำได้ยากมาก แต่ก็ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า

“ระหว่างทำการอดนี่ต้องเข้มงวดกับตัวเองไม่ให้เผลอกินอะไรเข้าไป ในส่วนของจิตใจก็จะต้องยอมรับ ไม่พะวง ไม่สงสัยในสิ่งที่ตัวเองลงมือทำ มีกำลังใจ ระหว่างนั้นต้องไม่อ่านหนังสือ ไม่ดูโทรทัศน์ ถ้าทำสมาธิได้ก็ทำไปเลย อย่างผมนี่บอกทุกคนเลยว่า ระหว่างนี้ไม่ต้องมาเยี่ยม

“ในเรื่องสมาธินี่ไม่จำเป็นว่าต้องมานั่งหลับตานะ เพราะบางคนยิ่งหลับตายิ่งฟุ้งซ่าน มองออกไปนอกหน้าต่าง ดูต้นไม้ดอกไม้ สถานที่ที่เราอด ยิ่งเป็นธรรมชาติมากเท่าไรยิ่งดีกับเราเท่านั้น เพราะธรรมชาติจะช่วยให้จิตเราสงบ พอสงบก็ยิ่งใช้พลังงานน้อยลง”

เขาว่า…คนเราทุกวันนี้เมื่อเจ็บป่วยก็จะไปหาหมอ ให้ชีวิตทั้งหมดขึ้นอยู่กับหมอ ทั้งๆที่บางคราวหมอก็ไม่สามารถบอกเราถึงสาเหตุของการเจ็บป่วย เพียงแค่สั่งยาให้เราเท่านั้น จริงๆแล้วตัวเรานั่นแหละที่ไม่ยอมถามตัวเราว่ ทำไมจึงป่วย แล้วดูแลตัวเอง

ประสบการณ์เจ็บป่วยอย่างเรื้อรังและรักษามันอย่างลำบากยากเข็ญนี้สอนคุณธาดาว่า

“เราอย่าใช้ชีวิตให้สนุกอย่างเดียว ต้องคำนึงถึงมันด้วย”

“คนเราควรรู้จักใช้ชีวิตง่ายๆ อยู่ให้ง่าย แล้วจิตใจจะพัฒนา รู้จักมองโลกในแง่ดี รู้จักพอ อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เรียนรู้จากธรรมชาติ เมื่อเข้าใจธรรมชาติก็จะเข้าใจทุกสิ่งตามความเป็นจริง การอยู่อย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติจะสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างภายนอกและภายใน ชีวิตจะเข้าใจสัจธรรมมากขึ้น

“ผมอาจจะโชคดีที่พอมีทรัพย์สินอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าเรารู้จักพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่และสิ่งที่เราได้รับ จะมากหรือน้อยก็มีความสุขได้ อยู่ได้ แค่รู้จักพอให้ได้เท่านั้นเอง”

ทุกวันนี้คุณธาดาจึงมีความสุขดี ใช้เวลาศึกษาธรรมะ อ่านหนังสือ ออกกำลังกายอยู่อย่างเรียบง่าย และช่วยเหลือสังคมบ้างในยามที่มีโอกาส

เขาจึงอ่อนโยนได้กับทุกๆชีวิตที่ผ่านเข้ามาสัมผัส ไม่เคยเกรี้ยวกราดหรือเลือกที่รักมักที่ชัง

เรื่องโดย: 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.