ไต, วิธีดูแลไต, บำรุงไต, สุขภาพไต, อาหารบำรุงไต

รักษาไตกันไว้ดีกว่า

วิธีดูแลไต โดยการหลีกเลี่ยงอาหารเค็มและสารปรุงแต่ง

ไต เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายไม่ด้อยกว่าอวัยวะสำคัญอื่น ดังนั้น วิธีดูแลไต ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเวลาที่สุขภาพเรายังอยู่ในภาวะปกติ เรามักไม่ค่อยเห็นความสำคัญของไตสักเท่าไร ต่อเมื่อร่างกายเริ่มมีปัญหา เช่น ปัสสาวะมีเลือดปนออกมา หรือปัสสาวะเป็นฟอง พร้อมกับมีอาการบวมตามร่างกายก็พอบอกได้ว่าไตมีปัญหา

เมื่อไตมีปัญหา แสดงว่าเราใช้งานไตหนักมากแล้ว เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่คุมน้ำตาลในเลือดไม่ได้จนเลือดหนืดเหมือนน้ำเชื่อมไหลผ่านไตวันละ 230 ลิตร จนเหลือมาเป็นปัสสาวะ 2.3 ลิตรทุก ๆ วันนั้น สร้างภาระที่หนักอึ้งให้กับไต

นอกจากหน้าที่กรองของเสียออกทางปัสสาวะแล้ว ไตยังมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนสำคัญต่อการสร้างกระดูก สร้างเม็ดเลือดแดงและคุมความดันโลหิต ดังนั้น ถ้าอยากให้ไตสุขภาพดีอยู่กับเรานาน ๆ ก็ต้องเลือกกินอาหารที่ไม่ทำให้ไตทำงานหนัก โดยมีหลักการคือ

ไม่กินเนื้อสัตว์มากเกินไป

เลี่ยงมากินเนื้อปลาแทน โดยกะปริมาณคือ 1 ฝ่ามือต่อวัน สำหรับคนที่เริ่มมีผลเลือดบอกค่าการทำงานของไตผิดปกติ ยิ่งต้องควบคุมโปรตีนให้เหลือ 0.6 – 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวันเลย ยกตัวอย่างเช่น คุณหนัก 50 กิโลกรัม โปรตีนที่ควรได้ต่อวันคือ 30 กรัมหรือเป็นเนื้อสัตว์ 1.2-1.5 ขีดต่อวันและควรเสริมไข่ขาวในอาหาร

 

กินปลาดีต่อสุขภาพไต, วิธีดูแลไต, ปลา, ไต, บำรุงไต, สุขภาพไต, อาหารบำรุงไต
กินปลาแทนเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ดีต่อสุขภาพไต

 

คลิกเพื่ออ่านต่อหน้าถัดไป

กินเค็ม ไตทำงานหนัก, วิธีดูแลไต, ไต, สุขภาพไต, บำรุงไต
กินอาหารรสเค็ม มีผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมต จะทำให้ไตทำงานหนัก

งดผงชูรสและอย่าติดเค็ม

ห้ามเติมเครื่องปรุง โดยจำกัดปริมาณโซเดียมไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน ที่มักจะพลาดได้รับโซเดียมสูงโดยไม่รู้ตัวคือ ผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมต เพราะเป็นโซเดียมท่ไี ม่เค็ม กินไปปริมาณเท่าไรก็จะไม่รู้ ทำให้ไตทำงานหนัก

งดสารปรุงแต่ง

สีสังเคราะห์ สารแต่งกลิ่น เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ไตทำงานหนักโดยไม่จำเป็น

ในกรณีบุคคลที่ไตเริ่มทำงานผิดปกติแล้วให้คุมโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในอาหารไม่ให้เยอะเกินไปด้วย โดยโพแทสเซียมจะมีมากในผักใบเขียวจัด ๆ เช่น ผักโขมผักบุ้ง บรอกโคลี มันฝรั่ง มันเทศ มะขามหวาน ส่วนฟอสฟอรัสจะมีมากในกาแฟและน้ำอัดลม จึงต้องพึงระวัง

อาหารที่หมอเลือกแนะนำให้กับคุณในนี้จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพไตให้อยู่กับเรานาน ๆ หมอจึงเลือกใช้ผักในวงศ์ Cruciferae (อ่านว่า ครูซิเฟอเรอี) หรือพืชวงศ์ผักกาดและกะหล่ำ ตามหลักของ Doctrine of Signature พืชตระกูลนี้ดำเนินชีวิตอยู่ใกล้กับรากของมันอย่างมากกล่าวคือ แทนที่จะแทงยอดชูช่อขึ้นมันกลับม้วนห่อใบเป็นปม มีใบที่อูมหนา ดังที่เราเห็นในแขนงกะหล่ำ ลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ของการบวมน้ำ ดังนั้นจึงมีสรรพคุณลดอาการบวมน้ำเฉพาะส่วนได้อีกทั้งยังเป็นผักที่มีโพแทสเซียมน้อย ดีต่อคนไข้ที่สภาวะไตขับโพแทสเซียมได้ไม่ค่อยดี

ความพิเศษอีกอย่างก็คือ พืชตระกูลนี้มีกลิ่นฉุนของกำมะถัน (Sulfur) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญกับระบบย่อยอาหารและการสังเคราะห์โปรตีน ทั้งนี้หลังจากสายโปรตีนถูกสังเคราะห์ด้วยการนำเอากรดแอมิโนมาเรียงต่อกันเป็นโครงสร้างแบบปฐมแล้วโปรตีนจะต้องมีการนำเอาซัลเฟอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อให้สายโปรตีนสามารถขดตัวเป็นโครงสร้างทุติยภูมิได้อีกทั้งช่วยให้ตับสามารถสังเคราะห์สารกลูตาไทโอนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญเพื่อขับสารเสียออกทางตับได้ดีขึ้น จึงเหมาะกับคนไข้โรคไตที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับการสร้างโปรตีนและขับสารเสียต่าง ๆ

หมายเหตุ ปัจจุบันพืชวงศ์ผักกาดใช้ชื่อวงศ์ว่า Brassicaceae (Cruciferae) (อ่านว่าบราสสิคาซีอี) แต่คุณหมออ้างอิงตามตำรา Doctrine of Signature ซึ่งบันทึกไว้ในยุคก่อนจึงยังคงใช้ชื่อ Cruciferae ตามตำราเดิม

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.