ผู้ป่วยมะเร็ง

ผู้ป่วยมะเร็ง ต้องเข้มแข็งตลอดกาล

ผู้ป่วยมะเร็ง ต้องเข้มแข็งตลอดกาล

วันนี้เราอ่านหนังสือ ประวัติ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พบตอนหนึ่ง ท่านว่า “…เวลาเป็นไข้ เราร้องคราง ไข้มันหายไหมล่ะ…ท่านว่า เรา (พระเณร) ต้องทำตัวให้สมกับเป็นนักรบในสงครามกองทุกข์ ไม่ต้องบ่นให้ข้าศึกว่า ทุกข์มาเท่าไร ก็รบมันเท่านั้น จนสุดกำลังอาวุธและความสามารถขาดดิ้น เราเป็นนักรบในวงปฏิบัติ ไม่ต้องบ่นว่าการเจ็บไข้ได้ทุกข์มันมามากหรือน้อย เพราะทุกข์ล้วนเป็นสัจธรรมชีวิต ผู้ประสงค์อยากรู้ของจริง แต่กลัวทุกข์ ไม่ยอมพิจารณา จะรู้ของจริงได้อย่างไร…”

ยกมา เพื่อจะเล่าให้ฟังว่า เมื่อเราป่วยเป็นมะเร็งแล้ว ไม่ยอมล้มหมอนนอนเสื่อ คร่ำครวญ พร่ำบ่น
คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าจะทรีทเราอย่างไร บ้างก็เดาว่านางต้องอ่อนแอมากแน่ๆ อย่าชวนนางไปที่นั่นที่นี่เลย มิเช่นนั้นต้องเอาใจกันสุดฤทธิ์ เป็นภาระเหลือเกิน บ้างก็เห็นทรงแล้วว่า ยังทำงานได้อยู่ ยังสั่งงานและเข้มงวดกับงานทุกชิ้นอยู่ แปลง่ายๆ ว่านางปกติแล้วล่ะ ออกฤทธิ์กับนางเหมือนเดิมได้เลย

ผู้ป่วยมะเร็ง

เรื่องเหล่านี้ เกิดขึ้นตามปกติ เราอาจจะคาดหวังให้ใครมารู้ไม่ได้ว่า เรารู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร เพราะเราเองบางครั้งยังไม่เข้าใจตนเองเลย ฉะนั้นทางที่ดีคือ บอกตรงๆ ค่ะ

(สำคัญที่สุด จงอย่าโอดโอยกับอาการและความทุกข์ความกังวลในโรคของตนเองแม้แต่ครั้งเดียว โดยเฉพาะถ้าเราเข้มแข็งมาตั้งแต่แรก และเข้มแข็งบ่อยๆ จนคนรอบข้างชิน การปล่อยให้ตนเองแสดงความอ่อนแอบางครั้ง แทนที่จะได้รับความเมตตา อาจถูกกล่าวหาว่า แกล้งโอดโอย เพื่อเรียกร้องความสนใจได้…มีคนคิดอย่างนั้นจริงๆค่ะ) การบอกตรงๆ เช่น

คลิกเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

  • ถ้าต้องเดินทาง ต้องขออยู่ห้องที่ห้องน้ำใหญ่หน่อย เพื่อจะได้นอนทำดีท็อกซ์ได้ (แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลังว่า ทำไมผู้ป่วยมะเร็งของชีวจิตต้องทำดีท็อกซ์ทุกวัน
  • ถ้าต้องกินแต่อาหารสุขภาพ ในสถานที่ที่เลือกอะไรไม่ได้ ก็ต้องบอกเขาว่า จะกินแต่อาหารมังสวิรัติที่ไม่มัน พร้อมกันนั้นก็เตรียมอาหารที่จำเป็นแต่หายากไปเอง เช่น ข้าวกล้องกระป๋อง
  • ถ้าตะเวนเดินทางไปกับสื่ออื่นๆ ทั้งวันไม่ไหว(หากไปทริปงาน) ก็ตั้งโครงเรื่องที่จะเล่าใหม่ โดยเป็นลักษณะเจาะลึก แล้วหยุดพักสัมภาษณ์ หากเป็นเพื่อน ก็บอกตรงๆ

โรคมะเร็ง

บางที การระวังการกินอยู่เช่นนี้ก็อาจถูกมองว่า เรื่องมาก เรื่องเยอะ ซึ่งก็ต้องปล่อยเขาค่ะ ไม่มีใครมาเข้าใจหรอก และก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนเข้าใจ ถ้าเขาไม่เคยเป็นมะเร็งและได้รับการรักษาด้วยวิธีการปรับพฤติกรรมการกินอยู่ แบบหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ขอยืนยันค่ะว่า กรรมใครกรรมมัน    ถ้าเราป่วย ได้รับการรักษาที่ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากหน้ามือเป็นหลังมือ แบบเข้มข้นยาวนาน และน้อยคน (ที่ไม่เคยเป็นมะเร็ง) จะเข้าใจ และรับตัวตนที่แสนเฮลตี้ของเรา

อย่างน้อย ก็ย่อมดีกว่า การเสียเงินเรือนแสนผ่าตัด ฉายรังสี และให้คีโม เพื่อแลกกับความเข้าใจง่ายๆ ของคนอื่น

พบกันใหม่ วันอังคารหน้าค่ะ

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.