สมุนไพร, ดีท็อกซ์, การล้างพิษตับ, ล้างพิษ

บ.ก.ขอตอบ : สงสัยเรื่อง การล้างพิษตับ จะต้องทำอย่างไร

การล้างพิษตับ จะต้องทำอย่างไร

การล้างพิษตับ หรือการขับท็อกซินออกจากตับ โดยการปรับพฤติกรรมการกิน เพื่อให้กระบวนการล้างพิษมีประสิทธิภาพขึ้น แล้วต้องทำอย่างไร บก.มีคำตอบค่ะ

ถาม

ได้ยินเรื่องการล้างพิษตับมานาน แต่ไม่เคยลองทำสักที ไม่กล้าครับ ที่จริงอยากรู้ว่า การล้างพิษตับจำเป็นหรือเปล่า คนเราจะต้องทำด้วยหรือครับ

บ.ก.ขอตอบ

จะว่าไป ขอให้เครดิต ดร.สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิตหน่อยนะคะ ท่านน่าจะเป็นผู้นำคำว่า “ดีท็อกซ์” หรือแปลเป็นไทยว่า การล้างพิษมาใช้ในบ้านเรา โดยเริ่มจากคำว่า “ท็อกซิน” หรือพิษ ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกายเรา ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

และจากข้อมูลในหนังสือ Cracking the Metabolic Code: The Nine Keys to Peak Health โดยคุณหมอเจมส์ บี. ลาเวลล์ (James B. Lavalle R.P.H. C.C.N. N.D.) พบว่า ตับจะเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยขับท็อกซินออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นท็อกซินที่เกิดจากการย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานในร่างกายเรา รวมทั้งฮอร์โมน หรือท็อกซินที่เข้าสู่ร่างกายจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสารอนุมูลอิสระ สารเคมีที่ใช้ในบ้าน มลพิษจากสิ่งแวดล้อม ยาต่างๆ

ฉะนั้น บ.ก.จึงอนุมานได้ว่า คำว่า “ล้างพิษตับ” ที่ได้ยินกันในปัจจุบันน่าจะมาจากวิธีคิดว่าจะ “เอาพิษออกจากตับ” โดยอิงความรู้ตั้งต้นดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หนังสือของคุณหมอเจมส์ ไม่ได้กล่าวถึงกระบวนการล้างพิษตับอื่นใด โดยเฉพาะในแบบที่เราได้ยินได้ฟังกันในบ้านเรา คุณหมอเจมส์กล่าวถึงการเลี่ยงท็อกซินจากภายนอก ได้แก่

  • ท็อกซินที่เกิดจากภาวะโลกร้อน เช่น ชั้นโอโซนลดลง แสงแดด
  • โลหะที่เป็นพิษต่อร่างกาย เช่น อะลูมิเนียม แคดเมี่ยม
  • ยาฆ่าแมลง และยากำจัดศัตรูพืช
  • fungicide fumigant fertilizer ที่ปะปนอยู่ในดิน
  • น้ำยาทำความสะอาด
  • พรม
  • คอมพิวเตอร์
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี
  • สารกันบูด
  • คาร์บอนมอนน็อกไซด์
  • แอลกอฮอล์
  • นิโคตินในบุหรี่

โดยเน้นการกินอาหารที่อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ เพื่อสร้างสมดุลในกลไกการขับท็อกซินหรือขับพิษในตับ และลดการสะสมของอนุมูลอิสระที่จะไปขัดขวางกระบวนการขับท็อกซิน หรือขับพิษของตับ เช่น วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์  ซีเรเนียม

ฉะนั้นกล่าวโดยสรุปคือ การล้างพิษตับ คือการปรับพฤติกรรมการกิน เพื่อให้กระบวนการล้างพิษมีประสิทธิภาพขึ้นนั่นเอง

(พบกับรายละเอียดการล้างพิษตับ อาหารและเมนูที่ช่วยตับในการขับพิษให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งเรื่องราวของโรคตับ ไวรัสตับอักเสบ ไขมันพอกตับ พร้อมวิธีการป้องกันและรักษา ในนิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 16 สิงหาคม 2560)

ส่วนการล้างพิษ หรือการขับท็อกซินออกจากร่างกายนั้น นอกจากตับ ร่างกายยังสามารถขับผิดออกทางผิวหนัง ในรูปของเหงื่อได้อีกด้วย

อาจารย์สาทิส กล่าวถึงวิธีการดีท็อกซ์หรือกำจัดท็อกซินออกจากร่างกาย มีอยู่ด้วยกัน 5 วิธี ได้แก่

  1. การอบไอน้ำ อบซาวน่า
  2. การออกกำลังกาย และการนวด
  3. การใช้ยา-สมุนไพร และเอนไซม์
  4. การถ่ายเลือด
  5. การสวนทวาร

อ่านต่อหน้าที่ 2

การล้างพิษแบบชีวจิต

ท็อกซ์ด้วยการสวนทวารด้วยน้ำกาแฟ, ล้างพิษสะสมที่ตับ, ดีท็อกซ์แบบชีวจิต, น้ำกาแฟ, ล้างพิษ
ท็อกซ์ด้วยการสวนทวารด้วยน้ำกาแฟ ช่วยล้างพิษสะสมที่ตับ

สำหรับคนที่รู้จักชีวจิตอยู่ก่อนแล้ว จะรู้ว่าชีวจิตแนะนำให้ล้างพิษด้วยการสวนทางทวาร โดยใช้น้ำกาแฟ ซึ่งเป็นการกำจัดท็อกซินที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ ไม่ใช่ทำเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของโรค หรือเพื่อแก้อาการท้องผูก แต่อย่างใด การถ่ายอุจจาระออกมาด้วยถือว่าเป็นผลพลอยได้เท่านั้น

จะว่าไปวิธีล้างพิษแบบนี้ ค้นคิดโดย นายแพทย์แมกซ์ เกอร์สัน ผู้ก่อตั้งสถาบันการแพทย์เกอร์สัน เมืองซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งครั้งที่ บ.ก.ไปร่วมอบรมวิธีการดูแลตนเองและผู้ป่วยมะเร็งในแบบเกอร์สัน เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว พบว่าในโปรแกรมการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง สถาบันเกอร์สันแนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับคีโม ทำดีท็อกซ์ด้วยการสวนทวารด้วยน้ำกาแฟ ถึงวันละ 3-4 ครั้งในช่วง 4-5 สัปดาห์แรก ทั้งนี้เพื่อล้างพิษจากยาเคมี ที่ผู้ป่วยมะเร็งได้รับขณะรับการรักษานั่นเอง

นั่นเป็นเพราะในกาแฟมี “คาเฟอีน” ที่ช่วยในการกระตุ้นให้ท็อกซินถูกขับมาตามเครือข่ายเส้นเลือดดำ ซึ่งเชื่อมโยงต่อเนื่องตั้งแต่ตับ กระเพาะ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ม้าม ลำไส้เล็ก จนถึงลำไส้ใหญ่

ถึงตอนนี้ คนที่เพิ่งเคยรู้จักชีวจิต คงอยากรู้แล้วล่ะว่าจะต้องทำอย่างไร

  1. ทำความรู้จักกับถุงดีท็อกซ์ ซึ่งจะประกอบไปด้วยตัวถุงลักษณะคล้ายถุงน้ำเกลือ ที่ก้นของถุงจะมีสายยางเล็กๆ ต่อยาวลงมาที่ปลายสายมีวาวส์เปิด-ปิด และมีรูสำหรับน้ำไหล 2 รู
  2. ปิดวาวส์ที่ปลายสาย แล้วใส่น้ำกาแฟที่อุ่นพอดีลงในถุงดีท็อกซ์ ไล่อากาศออกจากสายยาง โดยเปิดวาวส์ปล่อยให้น้ำกาแฟไหลผ่านสายยางเล็กน้อยแล้วปิดวาวส์

ก่อนจะสวนทวารต้องปล่อยน้ำออกจากสายยางเพื่อไล่ลมก่อน มิเช่นนั้นจะเกิดลมในช่องท้อง ทำให้อึดอัด และในกรณีคนที่ไม่กินกาแฟ อาจเกิดอาการคลื่นไส้ เวียนหัวได้

  1. แขวนถุงดีท็อกซ์ไว้ที่ปลายเท้าให้สูงจากพื้นประมาณ 120 เซนติเมตร (ถ้าแขวนสูงไป ความดันน้ำมากทำให้น้ำไหลเร็วอาจกลั้นไม่อยู่ ถ้าแขวนต่ำเกินไป น้ำจะไหลช้า) แล้วทาเจลหล่อลื่นที่ปลายสาย
  2. นอนตะแคงขวา ให้สะโพกด้านขวาวางราบกับพื้น เหยียดขาขวาให้ตรง ขาซ้ายก่ายขาขวา แบบท่ากอดหมอนข้าง
  3. สอดปลายสายยางเข้าไปในช่องทวารหนักให้ลึกประมาณ 2 นิ้ว เปิดวาวส์ให้น้ำกาแฟค่อยๆ ไหลเข้าไป ระหว่างนั้นให้หายใจลึกๆ ไม่ต้องเครียด ร้องเพลงไปด้วยก็ได้ ปล่อยให้น้ำกาแฟไหลเข้าไปจนหมดแล้วจึงดึงสายยางออก

เปลี่ยนเป็นท่านอนหงาย เหยียดขาตรง ใช้มือนวดท้องบริเวณเหนือสะดือจากขวาไปซ้ายประมาณ 5-10 นาที แต่ถ้ากลั้นไม่ได้ให้ลุกไปถ่ายโดยไม่ต้องเบ่ง นั่งถ่ายสักพักจนรู้สึกว่าน้ำกาแฟออกจนหมดแล้ว

ทั้งนี้ปริมาณน้ำกาแฟที่เหมาะสมกับร่างกายของเรา คือ

  1. ผู้ชายใช้น้ำกาแฟ 1,500 ซีซี.
  2. ผู้หญิงใช้น้ำกาแฟ 1,000-1,200 ซีซี
  3. ผู้ที่ผ่าตัดไส้ติ่งให้ใช้น้ำกาแฟที่ 800 ซีซี.
  4. ผู้ที่ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ขับถ่ายทางหน้าท้องไม่แนะนำให้ทำดีท็อกซ์ หากมีบาดแผลทางทวารหนักก็ไม่ควรทำดีท็อกซ์เช่นกัน
  5. ผู้ที่เป็นริดสีดวงทวารต้องใช้เจลทาที่ปลายสายยางให้มากว่าปกติ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

อาหารที่ผู้สูงอายุควรกินเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมตามวัย

เจาะลึกการดูแลผิว บำรุงข้อ ด้วยการ ใช้คอลลาเจน

เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

ติดตามชีวจิตได้ที่

Instagram Cheewajitmedia
Facebook นิตยสาชีวจิต

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.