อัมพฤกษ์

(เหมือน) ตายแล้วเกิดใหม่ รอดจาก อัมพฤกษ์ ได้เพราะชีวจิต

(เหมือน) ตายแล้วเกิดใหม่

รอดจาก อัมพฤกษ์ ได้เพราะชีวจิต

 

ประสบการณ์สุขภาพ เรื่องนี้รอดจาก อัมพฤกษ์ ได้เพราะชีวจิต

ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ของฤดูหนาว ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีกลุ่มคนต่างวัยเกือบ 100 ชีวิตมุ่งหน้าเดินไปน้ำตกตากหมอก ซึ่งอยู่ห่างจากถนนใหญ่ออกไปเป็นระยะทางถึง 10 กิโลเมตร ในจำนวนนั้นมี คุณลุงอุดม ไวศยดำรง วัยกว่า 60 ปีในขณะนั้น (ปัจจุบัน 70 กว่าปีแล้ว) เข้าร่วมเป็นหนึ่งในขบวน เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง คนอื่นเริ่มอ่อนแรง แต่ฝีเท้าของคุณลุงยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่ามั่นคงและสม่ำเสมอ

คุณลุงอุดมคงจะเดินไปถึงน้ำตกตากหมอกเป็นคนแรก ถ้าหนุ่มน้อยคนหนึ่งไม่ตัดหน้าไปเสียก่อน เลยได้ตำแหน่งรอง คนหนุ่มคนสาวอีกจำนวนมากยังถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

ทุกคนรู้สึกทึ่งในตัวคุณลุงอุดม และทึ่งมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ทราบว่า คุณลุงเพิ่งทุเลาจากการเป็นอัมพฤกษ์เนื่องจากเส้นเลือดในสมองตีบเพียง 3 เดือนเท่านั้น

ก่อนหน้านั้น 3 ปี เคยเป็นโรคกระเพาะหนักถึงขนาดกระเพาะพรุน มีเลือดไหลออกทางทวารหนักตลอดเวลาหลายวันจนถึงกับช็อค

และก่อนหน้านั้นอีก 7 ปี เส้นเลือดหลังดวงตาตีบ ไม่มีวีธีรักษา คุณหมอบอกว่าอยู่เพื่อรอเวลาตาบอดอย่างเดียว

คุณลุงทำให้สามช่วงชีวิตนั้นสัมผัสเพียง คำว่า “เฉียด” ได้เพราะ “ใจสู้”

“ปกติผมเป็นคนแข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ค่อนข้างจะมีเพื่อนเยอะไปพบปะสังสรรค์ก็มีการดื่มเหล้าเมายากันทุกครั้ง กระทั่งคืนหนึ่งขณะขับรถหลับบ้านรู้สึกว่าไปที่ส่องเข้าตามมันวูบวาบพิกล ก็สงสัยว่าทำไมตาลายๆ

“ไปให้หมอตรวจ หมอบอกว่าเส้นเลือดหลังจอภาพหลังดวงตาซ้ายตีบ ไม่มีทางรักษา เตรียมตัวบอดได้ และมีโอกาสลุกลามไปถึงตาข้างขวาด้วย ไปหาหมอสามแห่งก็พูดเหมือนกัน ตอนนั้นผมเครียดจนผอม ผิวคล้ำไปหมด เพราะลูกก็ยังเรียนไม่จบ เป็นห่วงไปต่างๆ นานา คิดดูก็แล้วกัน ขนาดจะไปลอกต้อกระจก หมอบอกว่า ‘ไม่ต้องทำหรอกคุณน่ะ’ จะตัดแว่น หมอยังไม่ตัดให้เลย บอกว่า ‘ตัดไปก็ไม่มีประโยชน์ ใช้ได้ไม่นาน’ เราคงไม่อยากให้เราสิ้นเปลือง

“ในเมื่อไม่มีทางจะทำอะไรให้ดีกว่านี้ได้ ผมก็พยายามทำใจให้สบายเพื่อต่อสู้กับโรคพอจะลืมๆ ไปได้บ้าง”

นับแต่วันที่คุณลุงอุดมทราบข่าวร้ายเรื่องดวงตา นายแพทย์ท่านหนึ่งให้รับประทานยาเพนิซิลินวันละ 1 เม็ดทุกวัน คุณลุงก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเป็นเวลาติดต่อมาถึง 3-4 ปี

“ผมไม่เคยรู้ว่ายาชนิดนี้มีผลข้างเคียงต่อร่างกายอย่างไรบ้าง หมอให้กินก็กิน อยู่ๆ ผมก็ถ่ายออกมาเป็นเลือดสีดำ มีกลิ่นเหม็น โดยไม่เคยมีอาการปวดเตือนมาก่อนเลย ครั้งแรกรีบไปหมอใกล้บ้าน (จังหวัดราชบุรี) เขาส่องกล้องดูแล้วบอกว่าเป็นโรคกระเพาะ นอนโรงพยาบาลประมาณหนึ่งอาทิตย์ ออกมาแบบตัวซีดเหลือง แต่ก็ไปทำงานทันที

“ผมมีรถแรกเตอร์ จึงต้องขับรถไปติดต่องานหลายที่ คงเป็นเพราะทำงานหนักมาก ทำให้อาการทรุดลงไปอีก คือ ขณะที่กำลังถ่ายมีเลือดไหลออกมามากกว่าครั้งแรกไหลไม่หยุด จนช็อกคาห้องน้ำ ไปถึงโรงพยาบาลก็ช็อคอีก คราวนี้หมอที่ราชบุรีเอาไม่อยู่ นอนเฉยๆ เลือดก็ไหลตลอดเวลาจนต้องใส่แพมเพิร์ส และถ้าเบ่งจะพุ่งพรวดออกมาเลย มีกลิ่นเหม็นมาก จนใครๆ ต้องเดินหนี

“ผมนอนอยู่อย่างนั้น 2 คืนโดยที่หมอไม่มีการลงมติอะไรเลย ภรรยาจึงตัดสินใจพาผมเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ช็อกคอพับคออ่อนไปเลย หมอต้องให้เลือดและสั่งตรวจใหม่หมดทุกอย่าง ทั้งส่องกล้อง ทั้งอัดก้น ถึงได้รู้ว่ากระเพาะผมพรุนเป็นรังผึ้ง เพราะกินยาเพนิซิลิน ยอมรับว่าน่ากลัวมาก รู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่”

หลังจากเฉียดตายคราวนั้น คุณลุงอุดมมีโอกาสได้รู้จักชีวจิต จึงเริ่มปรับการดำเนินชีวิตประจำวันทั้งการออกกำลังกายและการรับประทาน

อ่านต่อหน้าที่ 2

โรคกระเพาะของคุณลุงดีขึ้นไปไม่ต้องกินยา ตามที่เคยคิดว่าบอดก็ไม่มีอาการเลงลงกว่าเดิม จนคุณลุงมั่นใจว่า “ถ้าปฏิบัติตัวถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีก”

นอกจากคุณลุงจะดูแลตัวเองอย่างดี ภรรยาของคุณลุงยังเผื่อแผ่ความรู้เหล่านั้นไปถึงเพื่อนบ้านอีกด้วย จนบ้านคุณลุงกลายสภาพเป็นสภาเอนไซม์หรือสภาอาร์.ซี. (น้ำคั้นและน้ำต้มข้าวแบบชีวจิต) แทนที่จะเป็นสภากาแฟเหมือนบ้านอื่นๆ ตั้งแต่กลางปี 2540 เพราะทุกวันจะมีเพื่อนบ้านและแม่ค้าแถวๆ ตลาดโพธารามประมาณ 30 คนมาดื่มน้ำเอนไซม์ แล้วละ 20 บาท ของคุณป้าพร้อมนั้งสนทนาอ่านหนังสือกันไป และก่อนกลับบ้านจะซื้อน้ำอาร์.ซี. กับข้าวกล้องชุดละ 10 บาท ติดไม้ติดมือกลับไปด้วย

บางคนที่มีเวลาว่างสนใจจะออกกำลังกายก็เข้ามาร่วมก๊วนรำกระบองด้วย ช่วงเช้ามีคุณลุงเป็นเทรนเนอร์ ส่วนช่วงเย็นก็มีคุณป้าเป็นเทรเนอร์อีกเช่นกัน

คุณลุงเน้นว่า สิ่งที่ทำไม่ได้หวังกำไรอะไรเลย เพียงต้องการให้คนอื่นมีสุขภาพที่ดี แต่กำไรที่ได้รับคือ “กำไรเพื่อน” เพราะบ้านคุณลุงไม่เคยเหงาเลย

แต่ขณะที่กำลังสุขกายสบายใจอยู่นั้นประมาณกลางปี 2542 ก็เกิดเหตุขึ้นอีกจนได้

“ปกติเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้วแต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรนัก วันหนึ่งขับรถกลับมากจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รู้สึกเพลียมาก ตนอยากจะหยุดพักแถวเพชรบุรี แต่ภรรยาแย้งว่า ‘อีกเดียวก็จะถึงบ้านอยู่แล้ว’ จึงฝืนขับมาจนถึงบ้าน จากนั้นก็นอนพัก พอตอนเย็นจะไปเดินออกกำลังกายปรากฏว่าข้ามถนนไม่ได้ จะล้ม คิดว่า ‘เอ ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย’ ลองเดินไปสักพัก ปรากฏว่าเหนื่อยมากต้องค่อยๆ เดินประคองตัวเองกลับบ้าน

“วันรุ่งขึ้นเพลียไปทั้งตัว แขนขาข้างขวาไม่มีแรง จะกินข้าวกินน้ำก็ยกมือไม่ได้ต้องเอาแขนซ้านยกแขนขวาขึ้น แล้วก้มเอาปากไปใส่ช้อน แปลงฟันก็ต้องก้มเอาฟันมาหาแปรง แต่ไม่มีอาการชานะ แปลกมาก

“ไปหาหมอ เอกเรย์สมอง ก็ไม่เจอว่าเส้นเลือดแตก หมอจึงสันนิษฐานว่า เส้นเลือดตีบ คืออาจมีลิ่มเลือดจากความดันที่เคยสูงตกค้างอยู่และเคลื่อนตัวมาอุดตันพอดีส่งผลให้ร่างกายอ่อนแรง ผมกินยาสลายลิ่มเลือดอย่างเดียวเท่านั้น เพราะตรวจแล้วเบาหวานไม่มี ไขมันในเส้นเลือดปกติ ผลของเลือดไม่มีอะไรเลย ซึ่งตรงนี้ผมมั่นใจว่าเป็นเพราะการปฏิบัติตัวตามแนวชีวจิต”

อัมพฤกษ์

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป คุณลุงเดินไม่ได้เลย แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นว่าต้องหาย พยายามต่อสู้เอาชนะโรคร้ายจนสำเร็จในที่สุด

“ผมต้องนอนอยู่กับที่ พอยืนก็ล้มเผละหลังจากหนึ่งอาทิตย์ผลพยายามพยุงตัวลูกขึ้นเดิน เริ่มตั้งแต่ใส่รองเท้า กว่าจะเอามือจับรองเท้าใส่เข้าไปได้ ลำบากมาก กว่าจะเอามือจับรองเท้าใส่ได้ ลำบากมาก จากนั้นค่อยๆ ลากขาไปทั้งที่ปวดมากๆ กว่าจะก้าวได้แต่ละก้าวปวดจนไม่รู้จะทำอย่างไร รู้สึกว่าเจ็บๆๆๆ ก็พยายามเดินไปเรื่อยๆ จนอาการปวดทุเลา ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงจึงกลับบ้าน ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าต้องเอาชนะมันให้ได้

“กลับถึงบ้านไม่ได้ทำอะไรก็รำกระบองทั้งวัน แรกๆ ภรรยาต้องช่วงประคอง เพราะล้มบ่อยมาก จนตอนหลังเขาให้รำกระบองหน้าม้านั่งตัวยาว ถ้าล้มจะได้ล้มไปบนนั้นไม่เจ็บมาก แล้วผมไม่ยอมนอนชั้นล่างด้วยนะ ฉะนั้นเย็นก็จะถัดขึ้นบัดได เช้าก็ถัดลงมา เป็นอย่างนี้ทุกวัน เข้าห้องน้ำก็พยายามไปเอง

“ตอนนั้นคิดว่าแย่แล้ว เป็นอัมพาตแน่ ทุกวันจะรู้สึกว่า ‘ต้องเดินอีกแล้วหรือ’ เพราะเวลาเดินทรมารมาก แต่ถ้าแพ้คงเดินไม่ได้ตลอดชีวิต มันมีแนวโน้มอยู่แล้ว ฉะนั้นก็ต้องยอมเดินป้อแป้ๆ ไป ยิ่งเจ็บก็ยิ่งซ้ำ อาการจึงดีขึ้นเรื่องๆ ถ้าคนไม่อดทน ทำไม่ได้หรอกครับ

“ผมต้องเริ่มตั้งแต่หัดเขียนหนังสือใหม่หัดเซ็นชื่อ หัดปั่นจักรยาน ซึ่งพอขึ้นไปนั่งคร่อมก็จะล้มไม่ล้มแหล่ ขี่ไปขาก็ล้าไปทำอย่างนั้นอยู่เป็น 10 วัน จนคิดว่าปั่นได้จึงเริ่มหัดขับรถยนต์ ถอยเข้าออกบ้านก่อนขนาดพวงมาลัยพาวเวอร์ยังไม่มีแรงหนุนเลย

“พูดก็ไม่ชัด เหมือนคนลิ้นไก่สั้นเพื่อนๆ หลายคนแนะนำให้ไปหาหมอนวดที่นั่น ยาที่นี่ ผมไม่สนใจ บอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวก็หาย และภายในระยะเวลาประมาณ 2 เดือน อาการผมก็เริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมมั่นใจว่าการรำกระบองมีส่วนมาก

“ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ใจผมสู้ตลอดไม่กลัวเลย ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว แม้จะต้องตายก็สบายๆ เพราะได้อุทิศร่างกายให้กับโรงพยาบาลไปแล้ว จากชีวิตที่เคยพิถีพิถันทุกอย่าง เปลี่ยนเป็นกินง่าย อยู่ง่าย ปฏิบัติตัวง่ายๆ ตามแนวทางชีวจิตอย่างเต็มตัว

วันนี้แม้ตาคุณลุงจะฝ้าฟางไปบ้าง แต่ก็ไม่บอด โรคกระเพาะไม่เคยกำเริมอีกเลยและทิ้งภาพของคนขาเป๋ ไม่เหลือแม่แต่เงา

จากคอลัมน์ประสบการณ์สุขภาพ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 40 (1 มิถุนายน 2543)


บทความน่าสนใจอื่นๆ

เอาชนะ โรคภูมิแพ้จมูก ด้วยชีวจิต

เยียวยาความดันโลหิตต่ำด้วยชีวจิต

แก้ผมร่วงแบบชีวจิต

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.